บิ๊กบิลท์ แลนด์ฯเผยเข้าถือหุ้นใหญ่91%หลังกลุ่ม “วิโรจน์ เจริญตรา”ถอนตัว เดินหน้ารุกอสังหาฯแนวสูงราคา 2-5 ล้านบาท ประกาศพร้อมแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ-เสนอขายIPOไตรมาส2/62 แน่ หวังเพิ่มศักยภาพ ต่างชาติสนใจร่วมทุน ดันธุรกิจโต ตั้งเป้ารายได้ปี61แตะ 1,000 ล้านบาท

 

 

นายชัยรัตน์  ธรรมพีร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปี2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยที่ดีขึ้นทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัวค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่อเนื่อง จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับราคาในประเทศของผู้ซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ทั้งนี้คอนโดมิเนียม ที่อยู่แนวรถไฟฟ้าทั้งสายปัจจุบัน และที่สร้างแล้วเสร็จ รวมไปถึงส่วนต่อขยาย ยังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

 

ในขณะที่การซื้อที่ดินของผู้ประกอบการที่จะนำมาพัฒนาโครงการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการไทยในการประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาที่ดินดิบมีราคาสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตราคาคอนโดมิเนียมจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นตาม ตลาดก็จะมีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่รองรับกำลังซื้อของคนต่างชาติ

 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในอนาคตจะเน้นไปที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเป็นหลัก ที่ระดับราคา 2-5 ล้านบาท  มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้บริษัทฯยังเปิดกว้างสำหรับบริษัทข้ามชาติจะมาร่วมลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีหลายบริษัทในประเทศแถบเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีความร่วมมือดังกล่าวก็จะมีส่วนสนับสนุนการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยในการพิจารณาผู้ร่วมทุนนั้น  บริษัทฯให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินลงทุนและแนวทางการทำงานร่วมกันว่าสามารถร่วมกันได้หรือไม่เป็นหลัก ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา

 

“ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูง  เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในการบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มองขาดในเรื่องทำเล คุณภาพของงานก่อสร้าง ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการหลังการขายที่มีบริษัท บิลท์ ฮาร์ท จำกัด ช่วยในการบริการลูกค้า จัดการบริหารอาคารนิติบุคคล และคอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อหรือให้เช่า รวมทั้งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของเราเป็นอย่างดี โดยหลังจากที่กลุ่มนายวิโรจน์ เจริญตรา ถอนหุ้นออกไปจากบิลท์ แลนด์ฯเมื่อเดือนพฤษภาคม2560 ที่ผ่านมา ตนก็ได้ซื้อหุ้นกลับมาทั้งหมด ปัจจุบันตนถือหุ้นอยู่ประมาณ 91% ที่เหลือเป็นกลุ่มรายย่อย”นายชัยรัตน์ กล่าว

 

ส่วนความคืบหน้าที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น โดยในเบื้องต้นจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น เพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไปประมาณไตรมาส2/2562 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมกับที่ปรึษาทางการเงิน คือ บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนะสิน จำกัด(มหาชน)เพื่อยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ไนช่วงไตรมาส 4/2561 โดยตนจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% ซึ่งหลังจากนั้นอาจจะพิจารณาการร่วมทุนกับต่างชาติอีกครั้ง เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพเพียงพอที่จะร่วมทุนได้

 

โดยการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้บริษัทจะนำเงินไปใช้เพื่อซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต เพราะปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือ ที่ดิน ซึ่งบริษัทจะต้องมีเเม็ดเงินรองรับเพื่อการซื้อที่ดินส่วนรูปแบบการพัฒนาโครงการนั้นขึ้นอยู่กับทำเลของที่ดินว่าจะพัฒนาโครงการในรูปแบบใด โดยจะเน้นโครงการที่สร้างกำไรในระดับที่ดีให้กับบริษัท

 

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดฯจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับบิลท์แลนด์ฯในการลงทุนในอนาคต เพี่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ และเป็นความท้าทายให้กับทีมงานทุกคนของบริษัทในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยตั้งเป้าจะมีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าการเสนอขาย IPO จะได้รับการตอบรับนักลงทุนเป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนในประเทศรายหนึ่งมาขอซื้อหุ้นแบบ Pre IPO แต่เราก็คงยังไม่ขาย รอขาย IPO จริงๆทีเดียวเลย ซึ่งตรงนี้ก็แสดงถึงว่ามีนักลงทุนเชื่อมั่นในบริษัท”นายชัยรัตน์ กล่าว

 

โดยแผนการพัฒนาในปีนี้จะเปิดตัวประมาณ 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งมีที่ดินรองรับแล้วย่านธูปะเตมีย์ พื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา 3 แนวทาง คือ 1.คอนโดฯและแนวราบ 2.แนวราบอย่างเดียว และ3.คอนโดฯอย่างเดียว คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายใน 2 เดือนนี้ ส่วนในปี2562 มีแผนที่จะเปิดอีก 2-3 โครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ดินที่ซื้อมาว่าจะสามารถพัฒนาโครงการในรูปแบบใด

 

“การพัฒนาคอนโดฯนั้นมีผลกำไรที่ ดีแต่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องมียอดขายให้ได้ 70% จึงจะไปรอด ขณะที่โครงการแนวราบสามารถก่อสร้างไปและขายไปได้ จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า”นายชัยรัตน์ กล่าว

 

ด้านความคืบหน้าโครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร ขนาด 26.5-36 ตารางเมตร ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นไปที่ 110,000 บาท/ตารางเมตร หรือราคา 1.45-1.57 ล้านบาท (เปิดตัวครั้งแรกราคาขายอยู่ที่ 70,000 บาท/ตารางเมตรหรือ 1.2-1.3ล้านบาท)รวมจำนวน 786 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,068 ล้านบาท โดยเปิดขาย 2 อาคารแรกก่อน จำนวนประมาณ 400 ยูนิต เมื่อปี2559 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% โดยที่ผ่านมามีชาวต่างชาติมาขอซื้อยกล็อตแต่บริษัทไม่ขาย เพราะกลัวราคาขายไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ แต่ด้วยศักยภาพโครงการที่พัฒนามั่นใจว่าสามารถปิดการขายได้

 

โดย”เลสโต”เป็นแบรนด์ที่บริษัทแตกไลน์เพิ่มขึ้นมาครั้งแรกในปี2559 ในระดับราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าเล่นเดียวกับแบรนด์ “เทมโป”ที่ขายในราคา 2-3 ล้านบาท เพียงแต่เข้าซอยมาเล็กน้อยเท่านั้น

 

และในวันที่ 19- 20 พฤษภาคม 2561 นี้ “บิลท์ แลนด์” จะจัดงาน “LESTO OPEN HOUSE” เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมชมห้องชุดแต่งครบพร้อมเข้าอยู่  ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท สำหรับผู้ที่จองในวันงาน เลือกฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือ ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังฟรี! วอลล์เปเปอร์ทุกยูนิต ฟรี! เครื่องปรับอากาศ 15,000 บีทียู และเครื่องทำน้ำอุ่น

 

ส่วนโครงการ The Ritmo ชัยพฤกษ์-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1000 ล้านบาท  ปัจจุบันเฟส1 มียอดขายแล้วเกือบ 100% ส่วนเฟส2-3 จะเปิดเดือนมิถุนายน ประกอบด้วยทาวน์เฮาส์ ราคาอยู่ที่ประมาณ 2.4 ล้านบาทขึ้นไป และอาคารพาณิชย์ ราคา3.3-3.5 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามในปี2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 ที่ผ่านมาที่รับรู้รายได้ 945 ล้านบาท โดยบริษัทเน้นที่อัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่นั้น บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว 5-10% โดยเฉพาะโครงการห้องชุดซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง ปัจจุบันมีBacklog ประมาณกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส1-2 ปี2561 นี้