แซง-โกแบ็งฯมั่นใจEECช่วยขับเคลื่อนตลาดวัสดุก่สร้างโตในปี62 หลังถดถอยมานานร่วม 4 ปี ระบุการเลือกตั้งเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นเอกชนกล้าลงทุน พร้อมเข้าเจรจาคณะกรรมการอีอีซีหวังดันโซลูชั่นวัสดุอาคารนวัตกรรมใหม่ เน้นสร้างเสร็จเร็ว ลดพลังงาน หนุนเป้ายอดขายโต 5%

 


นายนิโคลา โกเดท์  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างประจำภูมิ ภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  บริษัท แซง-โกแบ็ง เวเบอร์ จำกัด (เวเบอร์ ตราตุ๊กแก)
เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวของธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอาคารให้เติบโตในปี2562  หลังจากภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างอยู่ในภาวะถดถอยตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซา โดยยอดขายของกลุ่มบริษัทในปี ‪2559-2560‬ ตกมาตลอด

 

“การเลือกตั้งในปีหน้าเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและวัสดุอาคารฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน” นายโกเดท์ กล่าว

 

ทั้งนี้แซง-โกแบ็งเป็นหนึ่งในบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่ได้มีการเจรจากับตัวแทนคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กศน.) หรือคณะกรรมการอีอีซีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมที่ช่วยให้การก่อสร้างเร็วขึ้น มีคุณภาพดี และลดพลังงานมากขึ้น ซึ่งตรงกับแนวคิดการพัฒนาอีอีซีที่เน้นการก่อสร้างที่มีนวัตกรรมและลดพลังงาน โดยหลังจากนี้ การพบปะระหว่างบริษัทจากฝรั่งเศสและอีอีซีจะมีขึ้นรอบที่สองในเร็วๆนี้

 

“การพัฒนาอีอีซีในช่วงแรกจะเป็นโอกาสของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและผู้ผลิตวัสดุสำหรับใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก ส่วนผู้ผลิตวัสดุอาคารอย่างบริษัทเรา อาจจะต้องใช้เวลากว่า 10 ปีที่จะเข้าไปมีส่วนในโครงการอีอีซี”นายนิโคลา กล่าว

 

สำหรับการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตยิปซั่มในประเทศไทย บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่คาดว่า กำลังการผลิตปัจจุบันน่าจะเพียงพอสำหรับดีมานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตที่ 75 ล้านตารางเมตรต่อปีจากโรงงาน 2 แห่งที่แหลมฉบัง จ.ชลบุรี และบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์และแอฟริกา

 

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานยิปซัมแห่งที่สองในเมืองไฮฟง ประเทศเวียดนาม เพิ่มเติมจากโรงงานแห่งแรกที่โฮจิมินห์ซิตี้ โดยโรงงานแห่งที่สองจะเริ่มเดินเครื่องในปลายปี 2561 นี้ ซึ่งสามารถตอบรับดีมานด์ที่มีอัตราการเติบโตสูงในประเทศเวียดนาม