ในปึ2561 แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี 100% แต่ผู้ประกอบการอสังหาฯก็ยังมีการแข่งขันที่ดุเดือด  เปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้กันอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศแผนที่จะรุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น เพราะดีมานด์ในกลุ่มนี้ยังมีอีกมาก นั่นหมายถึงว่าจะมาชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก ที่พัฒนาโครงการออกมาก่อนหน้านี้ และขายดิบขายดี ก็จะต้องมีการปรับแผนการตลาด ปรับตัวรับมือกับผู้ประกอบการรายใหญที่จะเช้ามาแชร์ตลาดดังกล่าวเพื่อครองความเป็นเจ้าตลาดให้ได้

 

 

GOLDเดินหน้าผุดทาวน์เฮาส์-บ้านแฝด32โครงการ

 นายภวรัญชน์ อุดมศิริ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือโกลเด้นแลนด์ หรือGOLD  เปิดเผยว่า ตลาดทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ในปี 2561 ดีมานด์ยังทรงตัว ในขณะที่ซัพพลายกลับมีมากขึ้น จากการที่ยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ LH,บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI และบริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชน)หรือ SPALI มีการประกาศตัวที่จะลงมาชิงส่วนแบ่งตลาดทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่จับตลาดดังกล่าวอยู่ อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด(มหาชน)หรื PS,โกลเด้นแลนด์,บริษัท เอเพี(ไทยแลนด์)จำกัด(มหาชน)หรือAP และอีก 2 บริษัทในเครือบริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ QH คือบริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัดและ บริษัท กัสโต วิลเลจ จำกัด โดยการแข่งขันในตลาดดังกล่าวส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปทำตลาดมากนัก ซึ่งในปีนี้โกลเด้นแลนด์ ก็จะต้องมีการปรับแผนรับมือกับการแข่งขันตลาดทาวน์เฮาส์ที่มีเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของโกลเด้นแลนด์ ในปี2561 นี้ จะเปิดทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด รวมทั้งสิ้นประมาณ 32โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท จากแผนพัฒนาทั้งหมดของโกลเด้นแลนด์ในปีนี้ จำนวน 34 โครงการโดยแบ่งเป็นการพัฒนาทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล เกือบ 30 โครงการ และที่เหลือเป็นการพัฒนาในพื้นที่โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECทั้ง 3 จังหวัด และที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

โดยทาวน์เฮาส์ที่โกลเด้นแลนด์ เปิดขายจะอยู่ที่ราคาประมาณ 4-6 ล้านบาท และบ้านแฝด ราคาประมาณ 6-7 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้อาจจะมีการปรับราคาขายขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากที่ดินค่อนข้างหายากและมีราคาสูง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

อย่างไรก็ตามในปี2560 ที่ผ่านมาโครงการทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝดของโกลเด้นแลนด์ สามารถทำยอดขายได้14,000 ล้านบาท จากยอดขายรวม 17,000 ล้านบาท และทำรายได้ประมาณ 9,000 ล้านบาท จากรายได้รวมที่ 12,000ล้านบาท ซึ่งในปี2561 นี้คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 17,000 ล้านบาท และสร้างรายได้ที่ 11,000 ล้านบาท

 

 

APรักษาฐานผู้นำตลาดภายใต้2กลยุทธ์หลัก

ด้านนายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า ภาพรวมตลาดแนวราบและดีมานด์สินค้าแนวราบไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระดับกลางบน ทำเลใจกลางเมือง ที่ระดับราคาขายประมาณ 4-9 ล้านบาทขึ้นไป มีแนวโน้มในการเติบโตที่ดีอยู่มาก สะท้อนได้อย่างชัดเจนจากอัตราการเติบโตด้านยอดขายสินค้าแนวราบเครือเอพีในไตรมาส 1 ที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 64% หรือเท่ากับ 5,200 ล้านบาท  ถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เป็นอย่างดี เหตุเพราะสินค้าแนวราบในกลุ่มกลางบนเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่มากนัก  โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ (อายุไม่เกิน 35 ปี)  ที่ให้ความสนใจและตัดสินใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กำลังจะเริ่มต้นครอบครัวหรือวางแผนขยับขยายมีครอบครัวเป็นของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นฐานตลาดค่อนข้างใหญ่

 

สำหรับภาพรวมตลาดแนวราบในไตรมาส 2 เชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้นกว่าในไตรมาสผ่านมา ด้วยการเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการใหม่จากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดที่จะทยอยเปิดตัวที่มากขึ้นเพื่อตอบตลาดกลุ่มลูกค้าครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ ที่มีการมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบที่มากขึ้น เนื่องจากสามารถเติมเต็มความต้องการ ทั้งในเรื่องขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในที่มากขึ้น และการมีโลเคชั่นในเมืองยังช่วยลดระยะเวลาการเดินทางอีกด้วย

 

“เอพี  ในฐานะผู้นำตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮมเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 59% ของตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมือง และด้วยประสบการณ์การพัฒนาทาวน์โฮมมาอย่างยาวนาน ทำให้ปัจจุบันเราสามารถครองใจผู้บริโภคมากกว่า 50,000 ครอบครัว”นายภมร กล่าว

 

นายภมร กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ เอพี ยังสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างการเติบโต ได้แก่ 1. STRATEGIC LOCATION  ‘ทำเล’ คือปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้น ทุกโครงการแนวราบเครือเอพีจะเน้นการเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางที่หลากหลายรูปแบบ  2. MASS CUSTOMIZED DESIGN การสร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าและแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ  เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้ปัจจุบันโครงการแนวราบของเอพีมีแบบบ้านที่สอดรับกับความต้องการที่ต่างกันของลูกค้ามากกว่า 70 ดีไซน์  โดยจะกระจายอยู่ในกว่า 60 โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมทั่วกรุงเทพฯ  ซึ่งที่ผ่านมานอกจากความสำเร็จจากยอดขายสินค้าไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น และพรีเมี่ยมทาวน์โฮม 2 ชั้น แล้วนั้น ในส่วนของสินค้าบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ โมเดล X-TREND (บ้านแฝด 5 ห้องนอน พร้อมห้องน้ำในตัวและที่จอดรถ 3 คัน) ก็ได้รับการตอบรับที่ดี  จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2561 จะเปิดโครงการแนวราบทั้งสิ้นจำนวน 31 โครงการ มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท  โดยไตรมาส 1/2561 เอพีเปิดขายโครงการแนวราบไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ มูลค่าโครงการ 540 ล้านบาท, พลีโน่ รังสิต คลอง 4 – วงแหวน มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท  และ พลีโน่ ปิ่นเกล้า – จรัญฯ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าแนวราบใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ทำเล CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1,130 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน เริ่ม 2.95 ล้านบาท และ CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท เปิดขายวันที่ 5-6 พฤษภาคม เริ่ม 7.2 ล้านบาท และทาวน์โฮม บ้านกลางเมือง วัชรพล มูลค่าโครงการ 930 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายประมาณช่วงเดือนมิถุนายน และตั้งเป้ายอดขายแนวราบปีนี้ไว้ที่ 18,000ล้านบาท

 

 

“กานดา”ไม่หวั่นมั่นใจสินค้า-ทำเลตอบโจทย์ดีมานด์

ด้านนายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า สถานการณ์ตลาดทาวน์เฮาส์หรือทาวน์โฮมมีแนวโน้มการขยายตัวจัดสรดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 นี้ มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นจำนวนมากเมื่อเทียบกับกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ ขณะที่กลุ่มบ้านเดี่ยวมีการเปิดตัวเป็นอันดับที่สอง ทำให้ในไตรมาส1/2561จำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่กลุ่มสินค้าที่อยู่อาศัยแนวราบมีอัตราการเติบโตสูงกว่า คอนโดมิเนียมถึง 17% เพราะคอนโดฯ มีการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ประกอบการจะคาดการณ์ว่าในปี 2561 นี้ตลาดโดยรวมจะกลับมาขยายตัวสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศและกำลังซื้อของลูกค้าที่ฟื้นตัวกลับมาแต่ในช่วงต้นปีนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯก็ยังไม่ได้โหมเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดออกมาอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากในตลาดยังมีสต๊อกห้องชุดตกค้างในปริมาณที่มาก

 

อย่างไรก็ตามจากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่หันมารุกตลาดทาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น ตนในฐานะผู้ประกอบการรายกลางก็พยายามที่จะปรับตัวในเรื่องการพัฒนาโครงการในทำเลและสินค้าที่มีความชำนาญ และดีไซน์ที่สมบูรณ์ ซึ่งที่ผ่านมาบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดของกานดาฯได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยเฉพาะในเรื่องห้องพักสำหรับผู้สูงอายุ ที่บริษัทฯให้ความสำคัญมาหลายปีแล้ว และในปีนี้ได้มีการปรับทาวน์เฮาส์ให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น โดย 1 ยูนิตจะมี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลของลูกค้าพบว่าต่างมีความพึงพอใจในสิ่งที่บริษัทฯมอบให้

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้จะเปิดทาวน์เฮาส์ใหม่ประมาณ 7 โครงการ จากทั้งหมด 10 โครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ มูลค่ากว่า 6,700 ล้านบาท ระดับราคาอยู่ที่ 1.89 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่พัฒนาในบริเวณปริมณฑลของกรุงเทพฯและภูเก็ต คาดว่าปีนี้จะสามารถทำรายได้อยู่ที่ 2,100 ล้านบาท

 

แค่เพียงเริ่มไตรมาส2ของปี2561 การแข่งขันก็ดุเดือดเลือดพล่าน เพราะรายใหญ่นั้นลงมากินส่วนแบ่งในทุกตลาด หากใครไม่ปรับตัวคงอยู่ยาก