รมว.พาณิชย์ มั่นใจงานมหกรรมบ้านและคอนโด เป็นดัชนีชี้วัดการเติบโตอสังหาฯ-ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ คาดปี61โต5-10% ผลจากภาคส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ ระบุทิศทางอสังหาฯขึ้นอยู่กับ 9 ดัชนีชี้วัด ทั้งผลักดัน“ไทยแลนด์ริเวียร่า”แจ้งเกิดสร้างการรับรู้ต่างชาติ แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เร็วรับทันยุคดิจิทัล

 

 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานเปิดงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่”38 ซึ่งจัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจอสังหาฯเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เมื่อธุรกิจนี้มีกำลังซื้อ ย่อมก่อให้เกิดการจ้างงาน และเงินหมุนเวียนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมจำนวนมาก การจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดถึงการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯได้เช่นกัน หากมีผู้ที่กำลังมองหาบ้านและนักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี ย่อมเป็นสัญญาณแสดงถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่38 เป็นการแสดงถึงการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

 

งานดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ ไม่เพียงแต่สำหรับธุรกิจอสังหาฯแต่ยังมีความสำคัญกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เพราะเป็นเวทีที่ใหญ่และเปิดโอกาสที่ดีที่สุด ที่ผู้ซื้อจะได้พบกับสินค้าจำนวนมากจากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายเล็ก ได้มีโอกาสเลือกสินค้าจากทำเลต่างๆ และรับประโยชน์จากกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกมากมาย ทั้งยังเป็นงานที่มีธุรกรรมทางการเงินมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านบาทในแต่ละครั้ง

 

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี2561 นี้ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-10% จากปกติที่ผ่านมาจะเติบโตปีละ 5% โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯเตรียมทยอยเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาด พร้อมทำกิจกรรมส่งเสริมการขายมากมาย เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงการส่งออกที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงต้นปี และภาคการท่องเที่ยวก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคอสังหาฯขยายตัวได้ดี

 

“ปีนี้มีปัจจัยบวกหลายประการทั้งระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) จะทำให้กำลังซื้อกลับมา หลังจากที่ชะลอตัวไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา”นายสนธิรัตน์ กล่าว

 

โดยทิศทางของธุรกิจอสังหาฯนั้นขึ้นอยู่กับ 9 ดัชนีชี้วัดธุรกิจดังต่อไปนี้ 1. ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยและที่ดิน ซึ่งประกอบด้วยที่อยู่อาศัย 4 ประเภท ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน ,ทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดิน,อาคารชุดและที่ดิน โดยคำนวณจากข้อมูลสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ค่าของดัชนีตามเวลาที่เปลี่ยนไป จะสามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มของราคาที่ดินและอสังหาฯในประเทศได้

 

2.สินเชื่ออสังหาฯของธนาคารพาณิชย์  เป็นข้อมูลยอดคงค้างของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ซื้ออสังหาฯ ถ้ายอดยิ่งมากก็จะแสดงถึงการลงทุนในอสังหาฯของคนในประเทศที่มีมาก

 

3.ที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่มในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นข้อมูลที่ได้รับจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งรวบรวมจากการขอเลขที่บ้านผ่านสำนักงานเขตต่างๆในกทม. ตัวแปรนี้จะให้ข้อมูลว่าในแต่ละปีมีคนซื้ออสังหาฯเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

 

4.การขอจดทะเบียนอาคารชุดทั้งประเทศ เป็นการขอจดของผู้ประกอบการใหม่ เมื่อก่อสร้างอาคารชุดและสาธารณูปโภคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวแปรนี้จะให้ข้อมูลจำนวนโครงการอสังหาฯเปิดใหม่ของผู้ประกอบการ

 

5.มูลค่าการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งประเทศ เป็นขอ้มูลซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการโดยใช้การคำนวณย้อนกลับจากค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่กรมที่ดินจัดเก็บได้

 

6.ดัชนีราคาขายที่อยู่อาศัย เป็นตัวบอกการเปลี่ยนแปลงของราคาที่อยู่อาศัยว่ามีการเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และสามารถนำดัชนีราคาที่อยู่อาศัยรายทำเลมาเปรียบเทียบเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของราคาว่าทำเลไหนได้รับความนิยมมากกว่า

 

7.ยอดขายที่อยู่อาศัย จะเป็นตัวแสดงถึงกระแสตอบรับของการขายที่อยู่อาศัยเวลานั้นว่าการตอบรับนั้นเป็นอย่างไร

 

8.อัตราการเข้าอยู่ เป็นการนำจำนวนห้องที่มีเข้าอยู่ทั้งหมดหารด้วยจำนวนห้องทั้งหมด ประเภทของอสังหาฯที่ใช้ตัวเลขนี้ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน อสังหาฯประเภทเช่า จะบอกถึงศักยภาพของตลาดในขณะนั้นว่า มีความสามารถขนาดไหนและยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ ทำเลไหนมีผู้เช่ามากหรือน้อย โดยปกติแล้วอัตราการเข้าอยู่จะอยู่ที่ประมาณ 75-90% ถึงจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่สำหรับโรงแรมจะมีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาจจะใช้ปรับลดตามสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น

 

9.อัตราการดูดซับ จะใช้กับโครงการที่สร้างมาเพื่อขาย โดยคิดจากจำนวนหน่วยที่ขายได้หารด้วยจำนวนหน่วยทั้งหมดในโครงการ ยิ่งมีค่ามากแสดงว่าโครงการนั้นเปิดมาแล้วได้รับความนิยมมากด้วย และสามารถคาดการณ์ได้ว่ายอดขายทั้งโครงการน่าจะออกมาดีและยังบอกถึง “อุปสงค์”ของตลาดอสังหาฯว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลย่านนั้นอยู่

 

ส่วนโครงการ “ไทยแลนด์ริเวียร่า”(Thailand Riviera) หรือ “หาดทรายหลวง ชายฝั่งทะเลวัง” ที่ประกอบด้วยพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรและระนอง นั้น เมื่อโครงการดังกล่าวมีความชัดเจน โอกาสของอสังหาฯ การก่อสร้างบ้านหรู หรือที่พักระดับไฮคลาส จะสร้างการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่มีระดับและมีกำลังทรัพย์ที่จะมาพักอาศัยในโซนนี้ และหากมองในด้านการพัฒนาเชิงพื้นที่และเศรษฐกิจ สังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมได้มากขึ้น จะทำให้สามารถพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวหลักตามแนวชายฝั่งในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำไม่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะผู้มีฐานะเท่านั้น อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายที่จะพัฒนาเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวที่หรูหราด้วย

 

“ท่านรมว.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้กล่าวไว้ว่าพื้นที่เวณเหล่านี้มีของดีหลายอย่าง แต่ชาวต่างชาติกลับมาแค่อำเภอหัวหินปีละ 4-5 ล้านคน จึงต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวรู้จัก และต้องใช้แนวคิดเดียวแบบโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำหนดพื้นที่ขึ้นมา แล้วไปต่อยอดการพัฒนา หากทำขึ้นมาได้จะเป็นตัวสร้างให้เกิดเศรษฐกิจชุมชน เอสเอ็มอีชุมชน ซึ่งขณะนี้รถไฟทางคู่มาแล้วและต่อไปถึงชุมพร จะช่วยเข้ามาสนับสนุน จึงต้องประกาศออกมาเป็นไทยแลนด์ริเวียร่า เพื่อที่ต่างชาติจะได้รับรู้และเข้าใจโครงการ”นายสนธิรัตน์ กล่าว

 

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีที่วัดคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือ ที่อยู่อาศัยที่สร้างมากขึ้น และคุณภาพที่ดีขึ้น อสังหาฯโดยเฉพาะที่อยู่อาศัย การเติบโตในประเทศไทยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 200,000 ยูนิต อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 50% หรือประมาณ 100,000 ยูนิต ในขณะที่อเมริกาและจีน มีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 ล้านยูนิตและ 5 ล้านยูนิต ตามลำดับ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีอาคารคอนโดฯเพิ่มขึ้น 4,000-5,000 ยูนิต ขณะที่อสังหาฯมีขนาดใหญ่ เป็นคอมเพล็กซ์ มีความทันสมัยมากขึ้น มีเครื่องมือElectronic และการสื่อสารแบบดิจิทัล และเริ่มพึ่งพา ดิจิทัล เทคโนโลยีเกือบทุกด้าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงของอสังหาฯดิจิทัล เข้ามาในแวดวงมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีProperty-Tech หรือ Application ใหม่ๆเพิ่มเข้ามา เช่นการนำ Building Information Model (BIM) เข้ามาช่วยออกแบบคำนวณการก่อสร้างและกำลังจะขยายฐานการขายและการก่อสร้างออกไปสู่บริการหลังการขาย ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายเริ่มเตรียมนำแอปพลิเคชั่น ที่ให้บริการทั้งระบบที่เรียกว่า Total Living Solution อสังหาฯกำลังเข้าสู่ยุคที่ต้องปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรง และดิจิทัล เทคโนโลยี ก็จะเป็นส่วนช่วยเสริมเพื่อยกระดับธุรกิจอสังหาฯให้ทันสมัยนำหน้าหลายประเทศมากขึ้น

 

ซึ่งการเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เร็วเพราะความรู้อสังหาฯมีมากมายทั้งจากผู้ที่มีประสบการณ์เดิม และนักธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ในยุคอสังหาฯ4.0 มองทิศทางข้างหน้าประเทศไทยรวมทั้งนโยบายของรัฐบาลขณะนี้ มีปัจจัยเอื้อต่อธุรกิจเชื่อมโยงต่างกับโอกาสของอสังหาฯ จึงมั่นใจว่าอสังหาฯในช่วงต้นปี2561นี้จะกลับมาสดใสอีกครั้ง และงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 นี้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตที่กำลังจะตามมา