แสนสิริผนึกไมโคซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัวนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริงMixed Reality (MR)’ครั้งแรกในธุรกิจอสังหาฯ พร้อมเปิดตัวSales Gallery คอนเซ็ปต์คอนโดฯรุ่นใหม่ ราคา 3-5 ล้านบาท กลางปี61 เผยนวัตกรรมใหม่ลดต้นทุน 30% มั่นใจช่วยลูกค้ามีความพร้อมการเงินตัดสินใจได้เร็วถึง 80-90% และเตรียมขยายตลาดจีน-ฮ่องกงปี62

 

 

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI  เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯได้มุ่งมั่นวิสัยทัศน์ Siri LifeTech ในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่างเต็มพิกัด                  และล่าสุดได้ร่วมมือกับ 2 บริษัทผู้นำทางด้านไอที คือ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือAIS  ในการเปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR)  มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และที่แรกในโลก ! กับ  “MR Sales Gallery”  ในการจำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ  ด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง ซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะช่วยสร้างความแปลกใหม่และยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ล้ำไปอีกขั้น ขณะเดียวกัน MR ก็จะช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรเอไอเอสและไมโครซอฟท์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

 

 

ทั้งนี้เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) คือการผสานจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน และต่อยอดให้เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพจำลองที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ตอบได้ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างดิจิทัล ลูกค้าจะต้องสวมอุปกรณ์ holographic computing devices ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแสดงผลของภาพเสมือนจริงหรือภาพ Hologram ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ ทั้งยังออกแบบให้ควบคุมได้ง่ายด้วยมือเปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่เสมือนกำลังเดินอยู่ในสถานที่จริงของโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว

 

 

ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งการออกแบบและฟังก์ชันต่างๆ ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุชมทัศนียภาพจากหน้าต่างเหมือนดังสถานที่จริง ตลอดจนปรับบรรยากาศได้ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองของโครงการได้อย่างสมจริง ทั้งยังสอดรับเทรนด์ Customization ตามแนวคิดของแสนสิริในการพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวความคิด customer-centric ที่รังสรรค์สินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบันทึกรูปแบบของห้องตัวอย่างที่ตนเองได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นไฟล์ภาพ                หรือวีดิโอเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนโบรชัวร์โครงการในอดีต

 

“โซลูชั่น Mixed Reality (MR) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดและขายโครงการ ช่วยยกระดับประสบการณ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เหนือชั้นยิ่งกว่าเคย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการขายลูกค้าตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถเยี่ยมชมโครงการได้แม้ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น ” ดร.ทวิชา กล่าว

 

ดร.ทวิชา กล่าวเพิ่มเติมว่า เทคโนโลยีดังกล่าวจะนำมาใช้กับโครงการคอนโดฯรุ่นใหม่ที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในระดับราคาประมาณ 3-5 ล้านบาท ซึ่งจะมีการเปิดตัว Sales Gallery คอนเซ็ปต์ใหม่ในกลางปี 2561 ซึ่งจะสามารถดูเทคโนโลยีดังกล่าวได้มากกว่า 1 โครงการ และในไตรมาส4 นี้จะเปิด Sales Gallery บนทำเลเดียวแต่สามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวดูข้อมูลได้ทุกโครงการของแสนสิริฯ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆได้ในขณะนี้

 

โดยเทคโนโลยีนี้ทำให้บริษัทสามารถลดคอร์สไม่ต่ำกว่า 30%   จากปกติในปีที่ผ่านมาบริษัทจะใช้งบในการวิจัยและพัฒนาโครงการ(Research&Development) ประมาณ 80 ล้านบาท แต่ในปีนี้ใช้งบไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการลงทุนกับสตาร์ทอัพในหลากหลายเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ทำให้ลดต้นทุนไปได้มาก เชื่อว่าการร่วมมือกับ 2 พันธมิตรนี้จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อคอนโดฯของแสนสิริฯได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่มีความพร้อมทางด้านการเงินจะสามารถตัดสินใจได้เร็วถึง 80-90%

 

และในต้นปี2562 บริษัทฯยังมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในสำนักขายในต่างประเทศด้วย แต่ปัจจุบันไมโครซอฟท์ฯจะมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ในการนำเทคโนโลยีไปใช้ในบางประเทศ เช่น จีน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา ส่วนที่ฮ่องกงนั้นไม่มีปัญหา สามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ฯครอบคลุมทั้งหมด 39 ประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ