“กลุ่มเซ็นทรัล” มั่นใจเศรษฐกิจปี61ฟื้นตัว ระบบสาธารณูปโภคภาครัฐดึงเม็ดเงินลงทุน  เปิดแผนปีจอทุ่มงบ 47,500 ล้านบาท ตั้งเป้า 5 ปีรายได้รวมแตะ 800,000 ล้านบาท ด้าน 2 โปรเจกต์ใหญ่ร่วมทุนคาดใช้เม็ดเงินลงทุน 50,000 ล้านบาท 2 ปีเห็นความชัดเจน ทั้งเดินหน้าธุรกิจอีโลจิสติกส์และอีไฟแนนซ์ขยายช่องทางออนไลน์โต

 

 

นายทศ จิราธิวัฒน์  ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด  เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี2561นี้ว่าน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  รวมไปถึงการเลือกตั้งก็น่าจะมีขึ้นในเร็วๆนี้   ส่วนภาครัฐเองก็มีการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภค อาทิ โครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเล หรือไทยแลนด์ ริเวียร่า,โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดีขึ้น และส่งผลดีต่อภาคบริการ เช่น ค้าปลีก ท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถจะทำให้เกิดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหรือกรุงเทพ 2 ได้

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่มเซ็นทรัลฯในปี 2561 นี้ ได้ตั้งงบการลงทุนไว้ประมาณ 47,500  ล้านบาท  เพิ่ม 27.8% จากปี 2560  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้รวม 397,308 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น  14% จากปี 2560 ซึ่งที่ผ่านมามีการลงทุนใกล้เคียงกับระดับดังกล่าว แต่หากปีใดมีการซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการก็อาจจะใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึง 70,000- 80,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้อาจจะมีบางดีลที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ (2561-2566) ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้รวม 800,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 13%   จากช่วง5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ตัวเลขยอดขายของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 11% และในปี 2560 สัดส่วนของผลประกอบการก็เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยแบ่งออกเป็นยอดขายในประเทศไทย 72%, ยุโรป 15% และเวียดนาม 13%

 

 

อย่างไรก็ตามในปี2561นี้ กลุ่มเซ็นทรัลมี2โครงการใหญ่ที่อยู่ระหว่างการเตรียมการศึกษา และใช้เม็ดเงินในการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท มีพื้นที่รวมประมาณ 1 ล้านตารางเมตร คือ โครงการบนที่ตั้งโรงแรมดุสิตธานีเดิม ตรงหัวมุมถนนสีลม-พระราม4 ที่ร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานีพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส คาดว่าบริษัทฯจะต้องใช้เม็ดเงินในการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท(ไม่รวมค่าที่ดิน)และพัฒนาในปี 2562  ส่วนโครงการบนที่ดินสถานทูตอังกฤษ ถนนวิทยุ ที่ร่วมกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ชนะการประมูลที่ดินมาเมื่อปีที่ผ่านมา คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ  25,000 ล้านบาท และใช้ระยะเวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีจึงจะสรุปรายละเอียดโครงการได้

 

 

ขณะที่โครงการต่างๆที่จะลงทุนและเปิดตัวปี2561นี้ เช่น ท็อปส์ พลาซ่า ,เซ็นทรัลเวิลด์โฉมใหม่,  โรบินสัน ไลฟ์สไตล์อมตะ ชลบุรี, ท็อปส์ พลาซ่า สิงห์บุรี, เซ็นทรัลภูเก็ตแห่งที่2และไตรภูมิแอทแทรคชั่น, เซนทารา เวสต์เบย์ เรสซิเดนส์และสวีท โดฮา ประเทศ, ท็อปส์ พลาซ่า ขอนแก่นและพัทลุง, ห้างสรรพสินค้าเซน ป่าตองภูเก็ต, ศูนย์การค้าไอซิตี้ ศูนย์การค้าแห่งแรกของซีพีเอ็นในประเทศมาเลเซีย  นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่างๆที่จะเปิดใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศที่เวียดนามอีก 439 แห่ง ตลอดทั้งปีด้วย

 

“ในปี 2560 กลุ่มเซ็นทรัลมีจำนวนร้านค้ารวม 4,970 แห่ง ใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมายในปี 2565 จะขยายจำนวนร้านค้าเป็น 7,509 แห่ง  ครอบคลุม 52 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะที่สัดส่วนของสาขาและเครือขายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีสาขาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คิดเป็น 80% ต่อ 20% แต่ปัจจุบันสัดส่วนสาขาของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น 54% ต่อ 46%” นายทศ กล่าว

 

นายทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ในปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลฯได้มีการร่วมทุนกับเจดีดอทคอม จากจีน ลงทุนโครงการใหญ่ ก่อตั้งเจดีเซ็นทรัลดอทคอม เพื่อสร้างมาร์เก็ตเพลส มูลค่า  17,500 ล้านบาท ซึ่งส่งผลดีต่อการเกิด 2 ธุรกิจใหม่คือ อีโลจิสติกส์และอีไฟแนนซ์ อย่างไรก็ตามยังมีการเจรจาเพื่อหาพันธมิตรเข้ามาร่วมมือเพิ่มขึ้นใน2ส่วนนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถสรุปผลได้  และเชื่อว่าการร่วมมือกับเจดีดอทคอมครั้นี้จะทำให้ยอดขายช่องทางออนไลน์เติบโตเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ช่องทางออนไลน์ของเซ็นทรัลมียอดขายประมาณ 6,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนรายได้ 2% จากรายได้รวม  โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 4% ในปีนี้

 

“เราต้องปรับตัวให้เป็น  “นิวเซ็นทรัล  นิวอี-โคโนมี (NEW CENTRAL. NEW E-CONOMY)  ทั้งในด้านเทคโนโลยี ผู้นำดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อพัฒนาในทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลและต่อยอดไปธุรกิจใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ผ่านการขับเคลื่อน 3 มิติสำคัญคือ  1.ข้อมูล จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจากทุกกลุ่มธุรกิจ ขึ้นไว้ในระบบคลาวด์ เพื่อความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในเชิงลึก  2. Loyalty และการตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลผ่านเดอะ วันการ์ด  และ 3. Omni Channel Platformเพื่อเป็นการเชื่อมการชอปปิ้งระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์”นายทศ กล่าว

 

นายทศ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดต่างประเทศ จะเน้นการลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากเวียดนามประมาณ 3% และคาดว่าภายใน 5 ปีสัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 20% รวมไปถึงจะขยายธุรกิจและเครือข่ายสาขา เพิ่มเป็น 753 ร้าน รวมพื้นที่กว่า 2.5 ล้านตารางเมตร  ครอบคลุม 57 จังหวัดด้วย ทั้งนี้ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศเวียดนาม เติบโตเฉลี่ย 340% ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย 5 ธุรกิจสำคัญ คือ  1. ธุรกิจศูนย์การค้า 31 แห่ง (บิ๊กซี เตรียมเปลี่ยนชื่อใหม่), 2. ธุรกิจอาหาร 59 แห่ง ( บิ๊กซี, ลานชีมาร์ท), 3. ธุรกิจแฟชั่น 49 แห่ง (โรบินส์, เดลาลา, ซูเปอร์สปอร์ต และ มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์),   4. ธุรกิจฮาร์ดไลน์ 78 แห่ง (เหงียนคิม, บีทูเอส) และ  5. ธุรกิจออนไลน์ 3 แพลตฟอร์ม (เว็บไซต์ NguyenKim.vn, Robins.vn และ B2S.com.vn)