สิงห์ เอสเตทฯวอนภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ หวังลดซัพพลายคงค้างในตลาดกทม.-ปริมณฑล ระบุสินค้าระดับกลาง-ล่าง มีสัดส่วนเกิน50% ระบุคอนโดฯราคาต่ำกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร เหลือขายมากสุด เปิดแผนปี 2561 ผุด 3 โครงการ รวมมูลค่า  10,000 ล้านบาท เตรียมแผนตั้งบริษัทบริหารงานขายภายในกลางปี คาดนำร่องโครงการ ดิ เอส  อโศก คาดปลายปี63 รายได้จากการขายแตะ50%

 

 

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผย prop2morrow ถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี2561 ว่า ผู้ประกอบการจะหันมาให้ความสำคัญเรื่องนวัตกรรมในการอยู่อาศัยมากขึ้น รวมไปถึงพยายามหาจุดขายที่ชัดเจนของโครงการเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้าและปิดการขายได้โดยเร็ว อาทิ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ,การเปิดโอกาสให้สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาเลี้ยงในพื้นที่ที่กำหนดให้ได้ รวมไปถึงการพยายามแบ่งตลาดให้เล็กลง มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น

 

ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรมีมาตรการออกมาช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯด้วย เพราะหากไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลือภาคธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ก็จะยิ่งทำให้ซัพพลายคงค้างอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการแนวราบและแนวสูงในเขตกทม.-ปริมณฑล ที่ปัจจุบันยังเหลือขายอีกหลายแสนยูนิต เพราะสัดส่วนเกิน 50% เป็นสินค้าระดับกลาง-ล่าง และมีผู้ที่ไม่ผ่านการพิจารณาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าราคาต่ำกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร จะเหลือขายมากสุด

 

ในขณะที่สินค้าของสิงห์ เอสเตทฯจะเป็นหนึ่งในสินค้าระดับลักชัวรี่ ที่ในตลาดมีสัดส่วนเพียง 10% จากตลาดรวมคอนโดฯทั้งหมด แต่ดีมานด์ก็จะเลือกซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องแข่งขันกันที่ทำเล สินค้าและแพ็กเกจ โดยสิงห์ เอสเตทฯมั่นใจว่าสินค้าที่พัฒนาตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก โดยแผนใน 5 ปีนี้จะพัฒนาปีละประมาณ 3 โครงการ

 

 

บริษัทฯมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2561 ทั้งสิ้น 3 โครงการ รวมมูลค่า  10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯระดับลักชัวรี่ จำนวน  2 โครงการ ใช้พื้นที่ในการพัฒนาประมาณ 2 ไร่  โดยมีที่ดินรองรับแล้ว 1 แปลง จะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ส่วนอีก 1 แปลงอยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน  ซึ่งปัจจุบันที่ดินติดถนนสายหลักย่านใจกลางเมืองค่อนข้างยาก ซึ่งมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯไฮไรส์ มูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยราคาขายของทั้ง 2 โครงการจะสูงกว่า 200,000 บาทา/ตารางเมตร

 

ส่วนอีกโครงการพัฒนาในรูปแบบแนวราบ บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม ภายใต้แบรนด์ “สันติบุรี เรสซิแด้นเซส”บนพื้นที่ 45 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวหรูสไตล์โมเดิร์นคอนเท็มโพรารี่ ขนาดตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป จำนวน 25  ยูนิต ราคาตั้งแต่ 200 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มบียอนด์  คาดว่าจะเปิดพรีเซลในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยมอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย)จำกัด เป็นผู้บริหารงานขาย คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

 

นอกจากนี้ยังมีนโยบายจัดตั้งบริษัทบริหารงานขายและโครงการ ภายในกลางปี 2561 โดยในเบื้องต้นจะบริหารโครงการของสิงห์ฯและบริษัทในเครือก่อน ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะเข้ารับบริหารงานให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆด้วยเช่นกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งชื่อบริษัทดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้   และเมื่อมีการจัดตั้งบริษัทฯแล้ว ในปลายปี 2561 ก็จะสามารถเข้าบริหารอาคารในโครงการ ดิ เอส อโศก (THE ESSE ASOKE) ได้ก่อนเป็นลำดับแรก

 

 

สำหรับแผนการลงทุนโครงการที่มัลดีฟส์ ประกอบด้วย 9 เกาะ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ภายใต้ชื่อ “เอมบูดู ลากูน” มูลค่าการลงทุนจะมากกว่า 20,000 ล้านบาท  ซึ่งจะพัฒนาทั้งรีสอร์ท มารีนา บีชคลับ ร้านค้าและร้านอาหารไลฟ์สไตล์ ดิวตี้ ฟรี รวมไปถึงศูนย์การเรียนรู้ทางทะเลและวัฒนธรรม โดยเฟสแรกจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ท มูลค่าโครงการกว่า11,000 ล้านบาท โดยในส่วนของโรงแรมได้เครือฮาร์ดร็อคเข้ามาบริหารแล้ว เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเปลี่ยนโฉมการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาโรงแรมในมัลดีฟส์ทุกแห่งจะเน้นการพักผ่อน คือรับประทานและพักอาศัยในโรงแรมเท่านั้น เพราะไม่มีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ นอกจากการไปดำน้ำ และโรงแรมแต่ละแห่งต้องนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปอีก ในขณะที่โครงการของสิงห์ฯที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นเดินทางเพียงเรือสปีดโบ้ทเพียง 15 นาทีเท่านั้น

 

“ทิศทางการลงทุนของสิงห์ เอสเตทฯจะเริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog)กว่า 10,000 ล้านบาท จาก 3โครงการที่จะทยอยโอนในปลายปี 2561 คือ ดิ เอส อโศก ,ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ ดิ เอส สุขุมวิท36 ซึ่งจะทำให้ในปี 2563 บริษัทฯมียอดขายในสัดส่วน 50% จากรายได้รวมของบริษัทที่ 20,000 ล้านบาท”นายณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด