ในปี2560 ที่ผ่านมาถือว่าผู้ประกอบการอสังหาฯมีการปรับตัวเพื่อรองรับยุคดิจิทัลแข่งกันนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการออกแบบ งานก่อสร้าง งานขาย กันอย่างโจ๋งครึ่ม และปี2561 ก็จะเป็นอีก 1 ปีที่ตลาดอสังหาฯมีการแข่งขันเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการใหม่ๆที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุค 4.0 และสังคมผู้สูงอายุที่นับวันจะมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอ จึงเป็นสิ่งที่เพิ่มความสะดวกสบายและตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ยิ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ยิ่งมีโอกาสในการสร้างมูลค่าให้กับโครงการที่พัฒนาได้มากขึ้น รวมไปถึงการขยายไลน์ธุรกิจ หรือการร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่ๆที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI ถือว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาโครงการ การรขาย การก่อสร้างฯลฯ ที่ทันสมัยใ้ห้เข้ากับยุคสมัยและนำเทรนด์อย่างต่อเนื่อง

 


5ก.พ.ดีเดย์ซื้อโครงการPACEหรือพับแผน

โดยนายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือSIRI เปิดเผยถึงความคืบหน้าการซื้อโครงการนิมิต หลังสวน (ทั้งโครงการ)และห้องชุดที่พักอาศัยในโครงการเดอะริทซ์ –คาร์ลตัล เรสซิเดนเซส บางกอก (จำนวน 53 ห้องชุด)ในโครงการอาคารชุดมหานคร จากกลุ่มบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือPACE และบริษัท เพซ โปรเจคทู จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ ว่าได้ขยายระยะเวลาการตรวจสอบทรัพย์สินที่การซื้อขาย (Due Diligence) ออกไปถึง 5 กุมภาพันธ์ 2561 เพราะราคาเสนอขายของ PACE ที่เสนอมาให้กับบริษัทยังถือว่ามีมากกว่าราคาที่บริษัทประเมิน ทำให้ยังไม่สามารถตกลงเรื่องการเสนอขายทรัพย์สินดังกล่าวได้ และได้ขยายระยะเวลาการซื้อขายออกมา ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการนำเอกสารกลับมาศึกษา และนำเสนอราคาพร้อมกับเงื่อนไขต่างๆในแนวทางที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสม เพื่อเตรียมเจรจากับทาง PACE อีกครั้ง ซึ่งหากการเจรจาเพื่อซื้อโครงการดังกล่าวยังไม่สามารถตกลงซื้อขายกันได้ภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ บริษัทสามารถยกเลิกการเสนอซื้อหรือขยายระยะเวลาการพิจารณาการซื้อขายออกไปได้อีก ซึ่งการซื้อโครงการของ PACE จะใช้กระแสเงินสดของบริษัทที่มีเพียงพอรองรับการทำดีลดังกล่าว แต่อาจจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับเพิ่มขึ้นบ้าง เพราะในด้านของสภาพคล่องและความมั่นคงของบริษัทยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี

 

“เรามองว่า PACE ควรลดราคาลงอีก เพราะจากที่ได้ไปดูสินทรัพย์ที่เสนอมายังไม่เหมาะสมกับราคาที่นำเสนอมา และที่ยืดระยะเวลาออกไป เพราะมีเอกสารที่มาก ซึ่งจะต้องดูแนวทางสรุปว่าจะเป็นอย่างไร และจะมีการพิจารณาราคาต่อรองที่สมเหตุสมผล ซึ่งก็อยากให้ PACE ยอมรับข้อเสนอและเงื่อนไข เพราะมองว่าโครงการของ PACE ยังมีความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากโครงการมหานครสามารถโอนได้แล้วบางส่วน ซึ่งขณะนี้ต้องศึกษาเรื่องความเสี่ยง กฏระเบียบต่างๆอย่างรอบคอบ ทำให้ใช้เวลาการศึกษานาน”นายวันจักร์ กล่าว

 


ชิงความเป็นผู้นำเทรนด์ก้าวสู่“Tomorrow is Unfolded”

ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRIกล่าวว่า ในปี2561 นี้บริษัทได้เห็นเทรนด์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดอสังหาฯ ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์แปลกใหม่ sharing economy trend มีผลต่อการใช้ชีวิตต่างจากรูปแบบเดิมๆ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดทั้งโอกาสใหม่ๆและการ disruption ต่อหลายธุรกิจ ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัว นำเสนอสิ่งที่โดนใจลูกค้าได้ก่อน และเป็นผู้กำหนดเทรนด์ จะเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจ เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการขยายตัวของตลาดและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้นในปีนี้จึงมีการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย สอดรับกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่สำคัญคือการสานต่อการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศทั้งรายใหม่และเก่า ซึ่งแนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปี 2561 นั้นต้องการที่จะก้าวครั้งใหญ่สู่ “Tomorrow is Unfolded”

 

โหมรุกตลาดทาวน์เฮาส์-ต่างจังหวัดสนองดีมานด์

โดยปีนี้จะเปิดตัวใหม่ถึง 31 โครงการ รวมมูลค่า 63,200 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าโครงการสูงที่สุด แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่า 33,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53% บ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม 20,100 ล้านบาท คิดเป็น 32% และทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท คิดเป็น 15% ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่มีการรุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น กระจายรอบกรุงเทพฯและปริมณฑลในระดับราคา 1 ล้านปลายๆถึง 3 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน)หรือ BTS และโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท

 

อีกทั้งยังเป็นการกลับมารุกตลาดต่างจังหวัดอีกครั้ง เพราะสต๊อกเดิมเริ่มระบายได้หมดแล้ว ซึ่งในปีนี้จะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดมากถึง 6 จังหวัด ที่มีดีมานด์และเป็นหัวเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นการพัฒนาคอนโดฯ จำนวน 5 จังหวัด คือ เชียงใหม่,ภูเก็ต,หัวหิน,พัทยาและหาดใหญ่ ส่วนที่ขอนแก่น จะพัฒนาในรูปแบบของมิกซ์โปรดักส์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “อณาสิริ”

 

“สาเหตุที่เรารุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้นเพราะที่ผ่านมาความต้องการมีมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาที่ดินก็ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะคอนโดฯใกล้แนวรถไฟฟ้า ราคาพุ่งสูงถึง 200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป และบ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาทขึ้นไป ทำให้มีลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้ได้ เราจึงได้ศึกษาข้อมูลและซื้อที่ดินเพื่อผุดทาวน์เฮาส์ กระจายรอบกทม.-ปริมณฑล”นายอุทัย กล่าว

 

นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเซกเมนต์ใหม่ แบรนด์ใหม่ จำนวน 4 โครงการ ระดับราคา 1-2 แสนบาท/ตารางเมตร ขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อแบรนด์ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณปลายไตรมาส2 หรือต้นไตรมาส3 ปีนี้

 

ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการฟรีในช่วง 3 เดือนแรก และหลังจากนั้นจะต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับการให้บริการ ส่วน Hostmaker ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากประเทศอังกฤษจะนำมาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ

 

จ่อผุดโรงแรม-คอนโดฯซูเปอร์ลักชัวรี่
รวมทั้งในอนาคตยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัยระดับมิกซ์ยูส The Standard Residence จะพัฒนาในรูปแบบโรงแรมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งบริหารโดยเชนระดับโลก และ Monocle Residence เป็นคอนโดฯระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นครั้งแรกในโลก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินในการนำมาพัฒนา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

นอกจากนี้ยังรุกตลาดต่างชาติ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น จากปัจจุบันฐานลูกค้าอันดับหนึ่งคือจีน รองลงมาคือฮ่องกง

 

ด้านการดีไซน์ได้สร้างความแตกต่างเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Lab Room และ Lab House ที่เรียกเป็นการภายในแสนสิริว่า Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี

 

ส่วนDigital Transformation Chapter 2 โดยมุ่งเน้น 3 ด้านได้แก่ 1. มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและมองหานวัตกรรมที่นำมาต่อยอดได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ,2.มุ่งลงทุนต่อยอดโดยมีสิริ เวนเจอร์สเป็นหน่วยงานหลัก ด้วยแผนลงทุนระยะยาว 3 ปี งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยจะเน้นงาน 3 ด้าน คือ การลงทุนในสตาร์ทอัพ ความร่วมมือในการผลักดันการสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อพัฒนา Home Service Application ช่วยยกระดับความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตของลูกค้า และ3.ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานนั้นมีความคล่องตัวและก้าวเท่าทันยุคดิจิทัล

 

โดยการมุ่งเน้นทั้ง 3 ด้านนี้ จะทำให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมได้แก่ Product – นำเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง AI, IoT, Wearable และ Robot มาใช้สร้างนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ,บริการ – ยกระดับการบริการลูกค้าเพื่อให้สะดวกสบาย รวดเร็วมากขึ้น ผ่าน Home Service Application 2.0 พร้อมฟังก์ชัน Thai Voice Command ที่พร้อมเปิดตัวให้ลูกบ้านทุกคนใช้ในไตรมาส 1 ปีนี้ และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร – โดยการนำระบบ Salesforce เข้ามาใช้ เพื่อพัฒนาระบบการทำการตลาด รวมถึงระบบการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ Primavera ที่ช่วยควบคุมขั้นตอนการก่อสร้าง มาใช้ในองค์กรเป็นครั้งแรก

 

“ซึ่งจากเทรนด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยเกื้อหนุนในทางบวก รวมทั้งทิศทางที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2561 เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน นอกจากนี้แสนสิริยังพร้อมเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านโครงการแนวใหม่ หรือ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการสร้างชื่อให้แบรนด์แสนสิริกลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในตลาดต่างประเทศอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 45,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มียอดขาย 38,600 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดรายได้ปีนี้ที่ 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีBacklog รวมประมาณ 44,900 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถโอนในปีนี้ได้ 14,300 ล้านบาท