โกลเด้นแลนด์ มั่นใจเศรษฐกิจปี61 ฟื้นตัว การลงทุนภาครัฐมีความชัดเจน ยอดปฏิเสธสินเชื่อทรงตัว ส่งผลดีมานด์คืนตลาดอสังหาฯ เปิดแผนปีจอผุด 34 โครงการ รวมมูลค่า 39,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี60  ทั้งในกทม.-ปริมณฑล และขยายตลาดหัวเมืองท่องเที่ยว-EEC  สนองดีมานด์ท้องถิ่น คาดยอดขายปีนี้แตะกว่า 20,000 ล้านบาท

 

นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD เปิดเผยถึงแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนปี 2561 ว่าจะยังมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความมั่นใจกลับมาดีขึ้น และส่งผลต่อการตัดสินใจในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันการลงทุนขยายเส้นทางการคมนาคมต่างๆของภาครัฐ ทำให้มีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไนพื้นที่ใหม่ๆเพิ่มขึ้น

 

ด้านแนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปีนี้และปี 2561 คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30% ซึ่งยังเป็นผลมาจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังเข้มงวด แต่มองว่าเป็นการพิจารณาของธนาคาร ซึ่งทางบริษัทไม่มีการใช้นโยบายตรวจสอบความสามารถในการกู้ยืมของลูกค้าก่อน เพราะจะส่งผลต่อความกังวลในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้า แต่อย่างไรก็ตามหากลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อบริษัทก็มีลูกค้ารายต่อไปที่จะเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยต่อจากลูกค้ารายเดิม
 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี2561 จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 39,600 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 20 โครงการ บ้านแฝด 8 โครงการ บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และ โครงการต่างจังหวัดอีก 2 โครงการ ซึ่งมีที่ดินรองรับหมดแล้ว ปัจจุบันบริษัทพัฒนาทาวน์โฮมในระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท, บ้านแฝด ราคา 5-6 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 7-40 ล้านบาท ซึ่งการเปิดโครงการในปี 2561มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2 เท่า จากปี2560 ที่เปิดตัวใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวม  15,000 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ จากผลตอบรับเป็นอย่างดีของโครงการต่างจังหวัดโครงการแรก คือ โกลเด้น ทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ ด้วยยอดขายในวันเปิดตัวกว่า 700 ล้านบาท บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่ดินทำเลในเมืองในจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงรวมถึงพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) อาทิ พระนครศรีอยุธยา เชียงราย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นต้น ทั้งนี้การลงทุนจะคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ อาทิ เป็นย่านที่มีกำลังซื้อสูง เป็นแหล่งชุมชน เดินทางสะดวก ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก พัฒนาเป็นโครงการที่มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม

 

 

นอกจากนี้บริษัทยังเน้นพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป เนื่องจากการซื้อที่แปลงใหญ่จะมีราคาเฉลี่ยที่ถูกกว่า โดยจะนำมาแบ่งการพัฒนาเป็นเฟสๆ ในโปรดักส์ที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันมีโครงการขนาดใหญ่ 3 โครงการได้แก่ “บริติซ อเวนิว” (British Avenue) ย่านเกษตรนวมินทร์ ขนาดที่ดิน 120 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการที่มีความหลากหลาย 5 โครงการในแบบบ้านสไตล์อังกฤษ รวม 950 ยูนิต มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 โครงการ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว โดยในปี 2560 เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและจะเปิดเพิ่มให้ครบทั้ง 5 โครงการในปี 2561 นี้ นอกจากนี้ยังมี โครงการ “โกลเด้น เอ็มไพร์” (Golden Empire) ย่านสาทร-กัลปพฤกษ์ และโครงการ”ฟีเรนเซ เอ็มไพร์” (Firenze Empire) ย่านบางแค โดยจะพัฒนาในรูปแบบคล้ายกัน

 

สำหรับโครงการบ้านระดับหรูไฮเอนด์ กับบ้านรุ่นใหม่ บริษัทได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งดีไซน์ใหม่ที่มีฟังก์ชั่นและพื้นที่ใช้สอยที่ครบคุ้ม อาทิ โครงการ”ทู แกรนด์ โมนาโค” (Two Grande Monaco) ที่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นบ้านหรูสไตล์ โมนาโค ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มียอดขายในวันเปิดจองถึง 652 ล้านบาท และแบบบ้านใหม่ที่โครงการ “เดอะ แกรนด์” (The Grand) ทั้ง 4 ทำเล ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนปรับเป้ารับรู้รายได้ในโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นอีก 30% จาก 3,000 ล้านบาทเป็น 4,000 ล้านบาทอีกด้วย

 

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนซื้อที่ดินเพิ่มจำนวน 34 แปลง ในงบประมาณ 13,240 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในปี 2561ยังคงคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินหาทำเลในการเปิดโครงการ เช่น เป็นย่านที่มีกำลังซื้อสูง เป็นแหล่งชุมชน เดินทางสะดวก ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และสามารถพัฒนาเป็นโครงการที่มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม

 

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ดีเกินความคาดหมาย โดยมียอดขายในธุรกิจที่อยู่อาศัย 9 เดือนแรก 16,580 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ทั้งปีที่มียอดขาย 14,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 2560 บริษัทฯ จะมียอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้มีผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ 14 โครงการ แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม 11 โครงการ, บ้านแฝด 2 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องของโครงการเดิม

 

 

อย่างไรก็ตามในปี2561 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 26,600 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 16,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น35% จากปี 2560 และในปี 2561 จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งการโอนของบริษัทจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน หลังจากเปิดขาย โดยบริษัทเน้นการขายโครงการที่มีระยะเวลาการขายที่เร็ว เพื่อทำให้มีรายได้กลับมา ส่วนสต็อกเหลือขายของบริษัทในปัจจุบันมีมูลค่ารวม  17,000 ล้านบาท จาก 44 โครงการที่เปิดการขายไปแล้ว