3สมาคมอสังหาริมทรัพย์เผยแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี61 ยังมีเทรนด์เทกโอเวอร์-การร่วมทุนต่างชาติ-โครงการมิกซ์ยูสต่อเนื่อง จับตาบริษัทพัฒนาเมืองเกิดแน่ แนะยุคปัจจุบันผู้ประกอบการต้องปรับตัวเน้นบริการหลังการขาย หากเร่งปิดขายอย่างเดียวอาจหายไปจากตลาดได้ ชี้บ้านผู้สูงอายุมาแรงขยายตัวเร็ว

 


นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
เปิดเผยในงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ“วิเคราะห์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 2561”ว่า ในปี2561 เทรนด์การเทกโอเวอร์และร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติเพิ่มมากขึ้น บริษัทขนาดเล็กและกลางจะเข้ามาในตลาดฯเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ยากขึ้น หากจะพัฒนาโครงการจะต้องเข้าไปในซอยที่ลึกมากขึ้น และอนาคตประชากรผู้สูงอายุจะมีเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้สมาคมอสังหาฯยังมีการเจรจากับบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย(บตท.)เพื่อรองรับผู้ที่มีปัญหาเครดิตบูโร และไม่ผ่านการกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าอย่างแน่นอนอีกประการหนึ่ง คือบริษัทพัฒนาเมือง ปัจจุบันมี 11 จังหวัดแล้ว เชื่อว่าขอนแก่นจะเป็นจังหวัดนำร่อง  ซึ่งสมาร์ทซิตี้ สมาร์ทวิลเลจ และสมาร์ทโฮม ก็จะเกิดขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

 

โดยเทรนด์ในการก่อสร้างจะเป็นการทำกลุ่มอาคารมิกซ์ยูสมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะผลักดันให้เกิดคอนโดฯเฮาส์ซิ่ง ในหลายๆจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันประเทศต่างๆที่มีเม็ดเงินหนาก็ยังมีความต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จะมีโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสมากขึ้น ที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับที่ดินที่เป็นลีสโฮลด์ และพยายามทำผลตอบแทนให้ได้ 5-6% ถ้าจะให้ดีควรจะนำเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)รวมไปถึงบิ๊กดาต้า และพร็อพเทคก็จะเกิดมากขึ้น

ด้านนายวิชัย พูลวรลักษณ์ กรรมการสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6-7 ปี ตลาดคอนโดฯสามารถครองแชมป์มาโดยตลอด ซึ่งคอนโดฯที่เปิดขายใหม่ในพื้นที่เส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างและที่จะเริ่มก่อสร้างจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ)และ(หัวลำโพง-บางแค),สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ),(หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต)เพราะที่ดินยังมีราคาไม่แพงมาก ดังนั้นราคาคอนโดฯจึงยังไม่สูงมากนัก
สำหรับคอนโดฯราคา 2 ล้านบาทค่อนข้างหายากแล้ว เพราะที่ดินมีการปรับราคาสูงทุกปีๆละ 10-20% เพราะที่ดินมีจำกัด และเป็นต้นทุนหลักในการกำหนดราคาขาย โดยกลุ่มราคา 7-10 ล้านบาทหรือ150,000-170,000 บาท/ตารางเมตร จะขายดีที่สุด ซึ่งการซื้อขายที่ดินในปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนมือเร็ว แต่หลังจากปี2561 ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริงทั้งหมด คอนโดฯจะถูกจำกัดด้วยที่ดินที่มีอยู่ในตลาด เพราะเจ้าของที่ดินไม่ปล่อยขาย เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีฐานะอยู่แล้ว จึงไม่เดือดร้อน ส่งผลให้ราคาคอนโดฯสูงมากขึ้น
ด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการในปัจจุบันจะแข่งขันในเรื่องการบริการหลังการขาย โดยเฉพาะปัจจุบันมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวในการหาทีมเพื่อปล่อยเช่าให้ลูกค้าและได้รับผลตอบแทนที่สูงมากที่สุด

“ที่ผ่านมาการที่บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)สามารถทำผลกำไรสุทธิได้มากที่สุดเป็นอันดับ1 นั้นสะท้อนว่า มีการบริหารจัดการและการขายมีความแตกต่างจากค่ายอื่นๆ หากผู้ประกอบการมัวแต่เร่งปิดการขายเพียงอย่างเดียวก็จะทำให้หายไปจากตลาดได้”นายวิชัย กล่าวในที่สุด

 

นายวสันต์ เคียงศิริ อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า  ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมีช่องว่างในการทำตลาดอีกมาก เพราะการพัฒนาโครงการขึ้นมามูลค่ามากหรือน้อยเพียงใดก็เสียเวลาในการก่อสร้างพอๆกัน โดยตลาดแนวราบ ไม่ค่อยเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เพราะมีการโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหลือซัพพลายน้อยลง เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาโครงการแนวราบหาได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงกระจายไปอยู่ทำเลปริมณฑล  ซึ่งทำให้ใช้งบประมาณในการขยายระบบสาธารณูปโภคอีกมาก

 

ด้านผังเมืองก็มีแนวทางที่จะปรับเกณฑ์ในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้สร้างที่อยู่อาศัยแต่ละเซกเมนต์ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้แรงกดดันในการซื้อขายที่ดินลดลง สามารถซื้อที่ดินได้ถูกลง

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุจากที่เคยขยายตัวช้านั้น นับจากนี้ไปจะขยายตัวได้เร็วขึ้น  ขณะที่ตลาดบ้านหลังแรกจะลดลง
ผู้ประกอบการจะอยู่ในวงการอสังหาฯได้ต้องมีสภาพคล่องด้านการเงิน เพราะช่องว่างทางการตลาดยังมีอีกมาก