บิ๊กแสนสิริเผยอนาคตคอนโดฯยูนิตเล็กลง ประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น อสังหาฯจะเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ระบุเหตุผลรุกขายสินค้าต่างประเทศ เพราะตลาดไทยเล็ก แม้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี เชื่อมั่นต่างชาติที่คุ้นเคยไทยยังสนใจลงทุน โวทำธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จ เจอปัญหาต้องรีบแก้ไข

 

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI เปิดเผยในงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ”ผ่าทางตันอสังหาฯ สไตล์เศรษฐา” ว่าปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคของโลกเปลี่ยนไปมากในอดีตจะมีความมั่งคั่งสูง และคุ้นเคยกับคำว่าลักชัวรี่ ซึ่งเป็น”โอลด์ ลักชัวรี่”ส่วน “นิว ลักชัวรี่”เป็นผู้มีรายได้สูง แต่ยังไม่มีทรัพย์สินมาก แต่รู้จักที่จะใช้จ่าย ซึ่งคนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับลักชัวรี่น้อยลงแต่เชื่อว่าลักชัวรี่ก็ยังมีอยู่แม้จะน้อยและเปลี่ยนไปมาก เช่น ขนาดห้องที่เล็กลง แต่ต้องใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากในปัจจุบัน และสินค้าต่างๆหลายแบรนด์เริ่มให้ความสำคัญกับการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ในการสัมผัส

 

ทั้งนี้ในอนาคตที่อยู่อาศัยต้องเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย การพัฒนาต้องจับต้องได้เนื่องจากขนาดห้องชุดเล็กลงเรื่อยๆ ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับสังคมที่ยอมรับในการอยู่ร่วมกัน การใช้พื้นที่ร่วมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโค-เวิร์คกิ้งสเปซ,โค-คิทเช่น เป็นต้น อย่างบริษัทเองก็ต้องปรับตัวจากที่เน้นสร้างแบรนด์มาในเรื่องสินค้าที่จับต้องได้

 

อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปลงทุนใน 6 พันธมิตรระดับโลกที่ยังเกี่ยวโยงกับอสังหาริมทรัพย์ และในปี 2561 บริษัทยังจะมีการลงทุนอีกหลายอย่าง โดยโฟกัสไปที่การให้ที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าและครบวงจรมากกว่าให้กับผู้บริโภค และในไตรมาส 1 ปีหน้าบริษัทจะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีอีก 5-6 อย่าง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

 

สำหรับเหตุผลที่บริษัทรุกนำโครงการไปขายต่างประเทศมากขึ้น เพราะตลาดประเทศไทยค่อนข้างเล็กการเติบโตของจีดีพี ที่ปี2561 คาดว่าจะอยู่ที่ 4% ขณะที่อสังหาฯ เติบโตได้อย่างมากเพียง 1.5% ของจีดีพี หรือเติบโตปีละ 5-6% ส่วนแสนสิริ มียอดขาย 30,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 5-6% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท

 

โดยที่มีไม่กี่จังหวัดที่ขายได้ นอกจากกรุงเทพฯ แล้วก็มีเชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และขอนแก่น ทำให้บริษัทต้องไปหาตลาดต่างประเทศ ที่จะเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตของยอดขาย แม้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยจะดีเท่าที่ควร แต่ชาวต่างชาติที่คุ้นเคยกับประเทศไทยก็ยังสนใจที่จะซื้ออสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศ 25% โดยแบรนด์แสนสิริ จะเป็นที่รู้จักในฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีนและไต้หวัน

“การทำธุรกิจต้องมีความจริงใจกับลูกค้า หากมีปัญหาต้องรีบจัดการ ต้องเปิดเผย อย่ามีเซอร์ไพรส์ ผมไม่สูตรสำเร็จในการทำบริหารในช่วงวิกฤต เพราะไม่มีที่ไหนสอน ต้องดูตามสถานการณ์ เพราะแต่ละวิกฤตต้องแก้ไขแตกต่างกันไป ส่วนอนาคตเทรนด์คอนโดฯจะเปลี่ยนไปอย่างไร จะฝืนโลกไม่ได้ โลกเปลี่ยนเราต้องเปลี่ยน แต่ต้องอยู่ในขอบเขตในกฎหมาย อย่างไรประเทศไทยก็ต้องเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น”นายเศรษฐา กล่าวในที่สุด