แมกโนเลียฯมั่นใจโครงการออกแบบเมืองอัจฉริยะผ่านเข้ารอบสุดท้าย หวังเป็นฮับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้ากระจายโมเดลมิกซ์ยูสครอบคลุมทุกโซนกทม.-ตจว.และต่างประเทศ เล็งจีนลำดับแรกรับอานิสงส์สายป่านเครือซีพี ส่วนคอนโดฯอาคาร3 จ่อเปิดขาปี61 ทุนฮ่องกง-สิงคโปร์ สนใจซื้อยกล็อต100-200 ยูนิต ขายต่อ

นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือMQDC เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่โครงการ วิสซ์ดอม101 (WHIZDOM 101)ได้รับการคัดเลือกให้เป็น1ใน7 โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะแห่งแรกในประเทศไทย “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” โดยร่วมกับกลุ่มทรู พัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นมาให้เป็นศูนย์กลางสร้างสรรค์งานวิจัยนวัตกรรมด้านดิจิทัล ภายใต้ระบบนิเวศน์สมบูรณ์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ลงทุนโดยภาคเอกชน โดยคำนึงถึงการออกแบบเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงการคำนึงถึงความสัมพันธ์ในชุมชนโดยรอบให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยขึ้น

 

โครงการดังกล่าวถือว่ามีความได้เปรียบโครงการอื่นๆที่เป็นโครงการที่พัฒนาจริงอยู่แล้ว และเป็นแนวคิดที่จะพัฒนารูปแบบดังกล่าวก่อนที่จะมีการจัดประกวดเมืองอัจฉริยะขึ้นมา เพราะต้องการสร้างผลกระทบในทางบวกและให้พื้นที่โดยรอบได้รับผลประโยชน์ร่วม ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวถึง 32% หรือคิดเป็นพื้นที่ 22,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 14 ไร่ ให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้พื้นที่ได้ฟรี และเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างแน่นอน

 

ภายใต้กระบวนการออกแบบและแนวคิดเพื่อการประหยัดพลังงานนี้ มี 3 องค์ประกอบที่สำคัญด้วยกันคือ 1. การใช้ธรรมชาติมาช่วยออกแบบ (Passive Design) การออกแบบตัวอาคารให้ประหยัดพลังงาน โดยหันอาคารให้รับแดดน้อยลงและรับลมได้ดีขึ้น สามารถลดการใช้พลังงาน ทำให้เปิดเครื่องปรับอากาศน้อยลง ดังนั้นกระบวนการก่อสร้างหรือแนวคิดก่อนก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องมีการจําลองสถานการณ์ (Simulation) โดยใช้ระบบ 3 มิติ ที่มีต้นแบบมาจากประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างและจัดการข้อมูลดิจิทัล เพื่อทำการทดลองออกแบบและบริหารงานก่อสร้าง ทำให้ก่อสร้างได้เร็วกว่ากำหนดถึง 6 เดือน หรือคิดเป็น 30% และวัสดุที่นำมาใช้ก็ลดความสูญเสียได้มาก และตัวอาคารสามารถลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ถึง 15,000 ตันต่อปี

 

2.การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การนำเทคโนโลยีเติมอากาศตลอด 24 ชั่วโมงมาใช้ในโครงการฯ ทำให้อุณหภูมิภายในใกล้เคียงกับอุณภูมิภายนอก และใช้ระบบ District Cooling Plant เพื่อลดการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศ และ 3.การใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดการใช้พลังงาน โครงการ WHIZDOM 101 มีการออกแบบพื้นทางเชื่อมบริเวณ Skywalk (MQDCใช้งบในการก่อสร้างSkywalkจำนวน150 ล้านบาท ระยะทางกว่า500 เมตร ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 6 เดือน)หน้าโครงการให้สามารถสร้างพลังงานจากการสั่นสะเทือน คิดเป็นการเดิน 1 ก้าวสามารถผลิตพลังงาน 5 วัตต์ และนำไปใช้เพื่อเป็นไฟส่องสว่างทางเดิน และเพื่อลดการใช้พลังงาน ส่งผลให้คนที่มาเดินที่โครงการฯ มีส่วนช่วยสร้างพลังงานเข้าไปในโครงการ

 

ตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการแนวคิดดังกล่าวเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการหลายโครงการในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เริ่มให้ความสำคัญและสนใจในการเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่เป็นคนรุ่นใหม่ นำเสนอแนวคิดมาต่อยอดธุรกิจ คาดว่าในปีต่อๆไปจะเห็นผู้ประกอบการอสังหาฯหันมาสนใจพลังงานเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และส่งผลให้ราคาที่ดินในย่านปุณณวิถีพุ่งสูงขึ้นไปถึง 500,000 บาท/ตารางวา จากก่อนหน้านี้ราคาอยู่ที่200,000 บาท/ตารางวา

 

โครงการดังกล่าวแล้วเสร็จในปี2563จะทำให้ WHIZDOM 101 เป็นส่วนหนึ่งใน11 โซน(ย่านปุณณวิถี)ในย่านนวัตกรรมกรุงเทพฯและภาคตะวันออกตามนโนยบายของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)หรือสนช.และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะนำรูปแบบนวัตกรรมดังกล่าวไปใช้กับทุกๆโครงการที่พัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส โดยหวังจะให้เป็นฮับของไปทุกโซนเช่นเดียวกับ WHIZDOM 101 รวมไปถึงการขยายฐานไปยังต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น  และต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนเพราะเครือซีพี มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมายาวนาน สามารถเริ่มธุรกิจได้ง่าย อีกทั้งยังสนใจเข้าไปพัฒนาในประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนด้วย คาดว่าจะเริ่มเห็นทิศทางการลงทุนดังกล่าวได้ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้

โครงการWHIZDOM 101 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 43 ไร่ ประกอบด้วยคอนโดฯ อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก รวม 3 อาคาร ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท โดยในส่วนของคอนโดฯ อาคารแรกปิดการขายแล้ว ส่วนอาคารที่2 มียอดขาย 70% โดย2 อาคารแรกมีลูกค้าชาวต่างชาติซื้อในสัดส่วนรวม 30% ส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน และอาคารที่3 จะเปิดการขายในปี2561 ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ ให้ความสนใจที่จะซื้อยกล็อตประมาณ 100-200 ยูนิต เพื่อนำไปขายต่อ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในปลายปี2560 นี้