เอพีฯจ่อผุดคอนโดฯร่วมทุนกลุ่มมิตซูบิชิฯครึ่งปีหลังอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 15,400 ล้านบาท  ล่าสุดเตรียมเปิด “ไลฟ์ วัน ไวร์เลส” พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ครั้งแรก ตั้งเป้าวันเดียวฟันยอดขาย 75% ระบุสต็อกคอนโดฯเหลือขายประมาณ 12,000 ล้านบาท จาก 15 โครงการ คาดระบายหมดภายใน 2 ปี มั่นใจยอดขายทั้งปีตามเป้า 12,400 ล้านบาท

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือ AP เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในย่านวิทยุ-หลังสวน-เพลินจิต-ชิดลม ว่าส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากที่ดินมีราคาสูง โดยปัจจุบันราคาที่ดินในถนนสายหลักของกทม.ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาหลายเท่าตัว โดยทำเลสีลม ราคาประเมินอยู่ที่ 550,00- 1 ล้านบาท/ตารางวา เพิ่มขึ้นถึง +53% เพลินจิต ราคาประเมินอยู่ที่ 400,000-900,000 บาท/ตารางวา เพิ่มขึ้นถึง+125%  ราชดำริ ราคาประเมินอยู่ที่350,000-900,000 บาท/ตารางวา +157% วิทยุ ราคาประเมินอยู่ที่ 350,000-750,000 +115% แต่ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ 1.5-1.9 ล้านบาท/ตารางวา  สาทร ราคาประเมินอยู่ที่ 400,000-750,000 บาท/ตารางวา เพิ่มขึ้น+78% และพระราม4 ราคาประเมินอยู่ที่ 330,000-500,000 บาท/ตารางวา เพิ่มขึ้น+25%

จากการสำรวจในย่านพื้นที่เชื่อมต่อทำเลวิทยุ หลังสวน เพลินจิต และชิดลม พบว่าซัพพลายคงเหลือเพียง 998 ยูนิต หรือคิดเป็น 30 % ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด โดยแบ่งเป็นระดับราคา 150,000-200,000บาท/ตารางเมตร  เหลือขายจำนวน 331 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 61%, ราคา 200,000-300,000บาท/ตารางเมตรเหลือขายจำนวน 520 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 73% และราคามากกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร เหลือขายจำนวน 147 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 55%

สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 15,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป(MEC)  เป็นโครงการที่ 10และ11 ได้แก่ โครงการ “ไลฟ์ วัน ไวร์เลส” (Life ๑ WIRELESS)  ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิทยุ บนพื้นที่ 4 ไร่เศษ อยู่ตรงข้ามโรงแรมปาร์คนายเลิศ ถือว่าเป็นที่ดินเกือบแปลงสุดท้ายในทำเลดังกล่าว ที่ซื้อมาในราคาเกือบ 1 ล้านบาท/ตารางวา  เป็นคอนโดฯ จำนวน 1 อาคาร สูง 43 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 24-63 ตารางเมตร ราคา 4.9-12 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 170,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 1,344 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,400 ล้านบาท

โดยโครงการดังกล่าวจะแบ่งการขายที่ชัดเจนที่กระจายความหลากหลายและลดความเหลื่อมล้ำ โดยแบ่งการขายเป็น 3 ส่วนคือ แบ่งจำนวนห้องประมาณ10% ผ่านการจองระบบออนไลน์ (iBooking) ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2560 เวลา 27 กรกฎาคม 2560 เวลา 20.00-24.00 น. ซึ่งเป็นโครงการแรกของเอพีที่เริ่มนำระบบดังกล่าวมาใช้และจะทยอยใช้กับทุกๆโครงการในอนาคต  สัดส่วน 60% สำหรับวันเปิดพรีเซล วันที่ 29กรกฎาคม 2560 และอีก 30% สำหรับขายนักลงทุนและชาวต่างชาติ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวันและญี่ปุ่น โดยจะแบ่งขายให้กลุ่มละ 3-4 ชั้นๆละประมาณ 34 ยูนิต คาดว่าในวันพรีเซล จะมียอดขายจากทั้ง 3 ส่วนนี้ประมาณ 75% และโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบในปี 2563

 

ส่วนอีก 1 โครงการ คือ “ไลฟ์ อโศก-พระราม 9” จำนวน 2,248 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 110,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 9,000 ล้านบาท โดยจะเปิดการขายประมาณเดือนกันยายน 2560 นี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดขายคอนโดฯร่วมทุน แบรนด์”ไลฟ์ ลาดพร้าว”ไปแล้ว 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จเกินคาดสามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 80%

 

“จากการเปิดขายโครงการร่วมทุนกับกลุ่ม มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มา 9 โครงการ ทุกโครงการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มียอดขายรวมเฉลี่ยที่ 85% ส่งผลให้กลุ่มมิตซูบิชิฯมีความมั่นใจในศักยภาพของบริษัทฯจึงได้มีการร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง”นายวิทการ กล่าว

 

ส่วนการกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทได้มีการจัดโปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดโปรชั่นของแต่ละโครงการผ่านสำนักงานขาย เพื่อกระตุ้นให้คนสนใจซื้อ โดยบริษัทมองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกวายต่างอัดโปรโมชั่นและเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างมาก เพราะปีนี้มีระยะเวลาในการขายเหลือเพียง 5 เดือน เพราะในเดือนตุลาคม จะเป็นเดือนที่กิจกรรมต่างๆจะต้องงดเว้นจากปัจจัยในประเทศ ทำให้ทุกบริษัทจะต้องเร่งการทำการตลาดให้เร็วขึ้นกว่าปกติ ที่จะอยู่ไนช่วงไตรมาส 4 อีกทั้งในแง่ของการโอนในปัจจุบันจะเห็นว่าผู้ประกอบการต่างมีโปรโมชั่นการกู้สินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรมากขึ้น เพราะเป็นหนึ่งในการที่ช่วยให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อทรงตัวหรือลดลง ซึ่งปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัททรงตัวอยู่ที่ระดับ 12%

ปัจจุบันบริษัทมีสต็อกคอนโดฯเหลือขายประมาณ 12,000 ล้านบาท จาก 15 โครงการ คาดว่าจะสามารถระบายออกได้หมดภายในระยะเวลา 2 ปี ด้านยอดขายรอโอน (Backlog) ของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบันอยู่ที่ 30,200 ล้านบาท แบ่งเป็น Backlog ของโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนาเอง 6,500 ล้านบาท และ Backlog ของโครงการคอนโดฯร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิฯ 23,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 5,900 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2564 สำหรับในครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายคอนโดฯได้แล้ว 8,200 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 12,400 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ที่ผ่านมาที่มียอดขาย 10,000 ล้านบาท

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com