เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในทุกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำนวัตกรรมและสร้างยอดขายให้กับเจ้าของธุรกิจมากที่สุด ในธุรกิจอสังหาฯเองก็ไม่ต่างกัน การขาย การตลาด การบริหารจัดการฯลฯ จะเฉื่อยค่อยๆขายไปเรื่อยๆเหมือนเช่นในอดีตคงทำไม่ได้แล้ว ทุกองค์กรต้องมีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความแกร่งและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และตัวผู้ประกอบการเอง ปัจจุบันจึงเห็นได้ว่าอสังหาฯค่ายใหญ่ต่างพยายามหาจุดขายให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งการตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาหรือการร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆมาร่วมเสนอไอเดียที่จะสามารถตอบโจทย์ดีมานด์ได้

 

แสนสิริดึงนวัตกรรมบ้านเย็นเจาะแนวราบ

โดยบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆที่พยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในโครงการของแสนสิริฯอย่างต่อเนื่อง โดยในปี2552 ได้ริเริ่มทำการตลาดผ่าน Digital Sales kit บนหน้าจอ Multi-touch เป็นรายแรกของไทย ซึ่งช่วยสนับสนุนงานขายโครงการได้สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงการนำเสนอบริการ “Excellent Service” ที่โครงกา”ควอทโทร บาย แสนสิริ (ทองหล่อ ซอย4)”และในปี2554 ได้นำระบบควบคุมการบริการในโครงการผ่านหน้าจอระบบสัมผัส ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของแสนสิริในการมอบความสะดวกสบายให้กับลูกบ้าน และในปี2556 ได้พัฒนาระบบเซอร์วิสหลังการขายในรูปแบบออนไลน์ผ่าน “Home Service Application” (โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น) ร่วมกับบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกบ้านในยุคดิจิทัล ในปี2560 นี้แสนสิริฯได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านออนไลน์เซอร์วิส ต่อยอดพัฒนาแอปพลิเคชั่นระบบโฮมแคร์ (Home Care) แจ้งซ่อม ควบคุมและติดตามสถานะงานซ่อมแซมต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ยกระดับการจัดการและบริหารงานซ่อมให้มีมาตรฐานและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สะดวก รวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนระบบประสานงานหลังบ้านระหว่างหน่วยงานโฮมแคร์และผู้รับเหมามืออาชีพที่เชื่อมโยงข้อมูลและอัพเดตด้วยกัน

 

ล่าสุดได้ส่งทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) พัฒนานวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่าเซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green เต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ “Cooliving Designed Home” สร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งหมด 5 ฟังก์ชั่น ได้แก่ 1.Solar Attic ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคา เพื่อช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค 2.Breeze Panel ช่องระบายลมในตัวบ้าน ช่วยถ่ายเทและระบายอากาศในตัวบ้าน 3.Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้าน เช่น ทิศเหนือหรือใต้ จะรับแสงแดดและลมต่างกัน จึงออกแบบให้เหมาะกับแต่ละทิศ4.Texture Wall ผนังบ้านดีไซน์พิเศษที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว และ 5.UV Shield สีชนิดพิเศษ ช่วยกันความร้อน นอกจากนี้ยังมี Roof Shade ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด รวมถึง Heat-Absorbing Green Glass กระจกเขียวตัดแสง ช่วยลดความร้อนอีกด้วย โดย“นวัตกรรม “Cooliving Designed Home”ได้นำมาใช้ที่ “บุราสิริ วัชรพล”เป็นโครงการแรก ซึ่งเปิดพรีเซลเมื่อวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมาและจะทยอยพัฒนาในทุกโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริฯต่อไป

 

ทั้งนี้จากผลการเปิดพรีเซลโครงการบุราสิริ วัชรพลผลปรากฏว่ามีลูกค้า Walkin เข่ามาเกินกว่าเป้าที่ทางแสนสิริตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะดีมานด์ที่อยู่อาศัยบนทำเลดังกล่าวมีต่อเนื่อง ประกอบกับนำนวัตกรรมเรื่องบ้านเย็นมาใช้ในโครงการนี้เป็นแห่งแรก จึงเป็นที่สนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก

 

MQDCชูจุดขายส่งเสริมสุขภาพลูกค้า

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC  ที่ได้ทุ่มงบประมาณถึงกว่า 6,000 ล้านบาท ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ในที่อยู่อาศัยใหม่ในอนาคตระยะยาว 10 ปี(ปี 2560-2570) โดยส่งเสริมงานของศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน(RISC)ของMQDC ที่จะร่วมกับสตาร์ทอัพที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่ๆนำมาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัยของMQDC โดยเริ่มจากการร่วมมือกับบริษัท โอโบตรอนส์ จำกัด เปิดตัวระบบการปฏิบัติการ FULLY- INTEGRATED HOME INTELLIGENT SYSTEM FOR WELL-BEING นวัตกรรมบ้านอัจฉริยะที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน  เพื่อตอบโจทย์แบรนด์ดีเอ็นเอหรือแก่นแท้ของแบรนด์ที่ว่าด้วยเรื่อง ‘Sustainnovation’ อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรม การบูรณาการ การวัดค่าคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ หรือ Co2  และ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation  ซึ่งเป็นระบบปรับคุณภาพอากาช่วยให้เกิดการถ่ายเท หมุนเวียนอากาศที่ดีเข้ามาในที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนในอาคารเป็นรายแรกของไทยเสริมระบบบ้านอัจริยะ (Home Intelligent System) ให้สมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยได้นำระบบดังกล่าวเข้าไปติดตั้งใช้ในโครงการวิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ เป็นครั้งแรก และจะนำไปใช้กับทุกๆโครงการในอนาคตของMQDC ด้วย

 

โดยระบบดังกล่าวนั้นได้ติดตั้งให้กับลูกค้าทุกยูนิต เสมือนเป็นการให้ลูกค้าซื้อสินค้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งMQDC การันตีว่าราคาจะไม่แตกต่างจากโครงการต่างๆในย่านเดียวกันอย่างแน่นอน โดยระบบดังกล่าวระประกัน 3 ปี หลังจากนั้นหากลูกค้ารายไหนสนใจที่จะติดตั้งต่อก็ต้องมีการเจรจาเรื่องราคากันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ทางMQDC เองก็ยังอยู่ในระหว่างการประเมินราคาอยู่เช่นกัน

 

โดยกลุ่มเป้าหมายของวิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ จะเป็นคนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์ของตัวเอง  และซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ส่วนใหญ่ลูกค้าค่อนข้างพอใจกับ MQDC HOME INTELLIGENT SYSTEM เพราะเป็นนวัตกรรมที่ใส่ใจในด้านสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง นอกเหนือจากอำนวยความสะดวกสบายด้านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และทางMQDC ได้ส่งหนังสือเพื่อเชิญให้ลูกค้าไปรับฟังคำชี้แจงและสาธิตเกี่ยวกับระบบดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานขายโครงการ ปรากฏว่ามีลูกค้าไปรับฟังจำนวน256 ครอบครัว หรือ 500 คน  จากทั้งหมด 300 กว่ายูนิต โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าที่ตัดสินใจซื้อโครงการดังกล่าวเพราะทำเลที่ตั้งมีศักยภาพ แต่เมื่อมีการนำนวัตกรรมใหม่มาเสริม ก็ก็รู้พอใจเสมือนได้ของแถมมาในที่พักอาศัย

 

APผนึกจุฬาฯแก้ปัญหาความร้อน-อับชื้นในอาคาร

บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือAP ได้นำเทคโนโลยี “AP CORRIDOR WINDOW INNOVATION”ที่ร่วมกับคณะอาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการคิดค้นเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี มาใช้ในโครงการ “LIFE ลาดพร้าว” เป็นโครงการแรก เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการพักอาศัย และการเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตลอดเวลาที่ต้องการ (stay connected to the world 24/7) เป็นจริงได้ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community ที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการวางระบบ infrastructure ระบบโครงสร้างภายในที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างไร้ขีดจำกัด  ด้วยการผสานวิธีในเชิงวิศวกรรมเข้ากับงานสถาปัตยกรรม จนเกิดเป็นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยลดทอนปัญหาความร้อนและความอับชื้นภายในโถงทางเดินของคอนโดมิเนียมแต่ละชั้น ด้วยการออกแบบบานหน้าต่างรูปแบบพิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะของเอพี ที่ช่วยให้อากาศในแต่ละชั้นมีการถ่ายเทหมุนเวียนตามธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความโปร่ง โล่ง สบายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดการสะสมของแบคทีเรีย รวมถึงความร้อนภายในตัวอาคาร อีกทั้งนวัตกรรมนี้ยังออกแบบโดยคำนึงถึงสภาวะฝนตก ด้วยโครงตาข่าย(grille) 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในโครงหน้าต่าง ซึ่งจะช่วยหักเหทิศทางของลม ไม่ให้สายฝนผ่านเข้ามายังโถงทางเดิน ขณะที่อากาศก็ยังสามารถหมุนเวียนได้ตามปกติตลอดวัน ช่วยทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดได้อย่างสบายมากกว่าโถงทางเดินแบบเดิม โดยลูกค้าในกลุ่ม คอนโดแบรนด์ LIFE จะเป็นกลุ่มอายุ 28 – 45 ปี

 

โดยโครงการนี้เปิดพรีเซลเพียง 2 วัน (วันที่ 20-21 พฤษภาคม 2560) สามารถปิดยอดขายได้ถึง 70% ถือว่าเกินเป้าที่วางไว้ โดยถึงปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% ด้วยทำเลและราคาเริ่มต้นที่2.9 ล้านบาท นั่นตอบโจทย์ดีมานด์ บวกกับนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริม เลยยิ่งทำให้เอพีสามารถทำยอดขายได้เร็ว

 

อนันดาฯดึงโมเดลญี่ปุ่นต่อยอดธุรกิจ

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือANAN ได้ประกาศตัวเป็น Technology Company ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาผสมผสานกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยได้เริ่มนำนวัตกรรม Samsung Smarthome มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาโครงการคอนโดตั้งแต่ 2557และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่ Smart Home ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ง่าย และสะดวกรวดเร็วขึ้น เพียงสัมผัสปลายนิ้ว โดยใช้สมาร์ทโฟนเป็นตัวกลาง ผ่านแอพพลิเคชั่น  จากนั้นกดปุ่มฟังก์ชันสั่งการทำงานต่างๆ เช่น – Living Room การเปิด-ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้า ,Air Condition ควบคุมอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศผ่านทางมือถือ ,Status สามารถบอกสถานะภายในห้องว่าลืมเปิดอะไรทิ้งไว้หรือไม่,Daily Reminder ช่วยเตือนความจำวันสำคัญ ,Shuttle bus checking บอกสถานะรถรับ-ส่ง ว่าจะมาถึงภายในกี่นาที ,Mail Alert แจ้งเตือนว่ามีจดหมายหรือพัสดุมาถึงหรือยัง,แจ้งท่อปะปา/น้ำรั่ว / ไฟฟ้า ฯลฯ เสียกับนิติฯ ผ่านแอพพลิเคชันได้ทันที,Mobile Access ใช้มือถือเข้าคอนโดฯและBooking สำหรับจองส่วนกลาง เช่น ห้องประชุม

 

ล่าสุดพร้อมที่จะนำโมเดล Startup ของประเทศญี่ปุ่น มาเป็นแนวทางในการพัฒนา และต่อยอดทางธุรกิจ อาทิ เช่น STAY Japan คือ ONLINE VACATION RENTAL WEBSITE เป็นการให้บริการรับจองห้องพักที่เน้นเฉพาะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น ในรูปแบบการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านที่แท้จริง ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการจองห้องพักแบบถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ฉีกความจำเจในการเข้าพัก หรือ Imec® Hydro-Membrane (ไอเมค ไฮโดร-เมมเบรน) คือ เทคโนโลยีพื้นฐานของเมนเบรนชิ้นแรกของโลก เพื่อที่จะจัดการปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหาร การขาดแคลนน้ำ และที่ดิน ซึ่งเป็นการเกษตรแบบยั่งยืน การผลิตอาหารอย่างมีคุณภาพ และปลอดภัย และถือว่าเป็นระบบที่มีการใช้จ่ายต้นทุนต่ำ และให้ผลตอบแทนสูง ที่ปลูกผัก และทำเกษตร โดยการปลูกพืชแบบไม่ใช่ดิน แต่นำแผ่นพลาสติก(แผ่นฟิล์ม) เป็นตัวช่วยให้รากพื้นได้ยึดเกาะแทนดิน ซึ่งถือว่าเป็นตัวอย่าง STARTUP ที่น่าสนใจ และสามารถนำมาต่อยอดในการพัฒนาให้เหมาะสมกับประเทศไทย

 

เสนาฯเจาะตลาดโซลาร์รูฟ-บริการหลังงานขาย

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือSENA ถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่สร้างความชัดเจนเรื่องการนำพลังงานทดแทนมาใช้โดยตลอดมา โดยได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานทดแทนมาหลายปี และพบว่าในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยจะต้องมีการนำนวัตกรรมจากพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้ทดแทนพลังงานอย่าง ซึ่งเสนาฯ ได้พัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน “โซลาร์รูฟ” อย่างจริงจังมา 2 – 3 ปีแล้ว ซึ่งสอดคล้องแนวคิดของภาครัฐที่จะให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เองและขายกลับให้ภาครัฐได้ด้วยถือเป็นเรื่องที่ดีเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

 

เสนาฯได้ต่อยอดธุรกิจด้วยการขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาหรือ โซลาร์ รูฟท็อป ที่จะขยายสู่ทุกโครงการของเสนาฯ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดฯโดยได้ร่วมมือธุรกิจกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บี.กริม.เสนา” และตั้งเป้ารุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกขยายการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์ม 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี และส่วนที่สองคือ ใช้โซลาร์ รูฟในโครงการแนวราบและคอนโดฯ เพื่อเพิ่มมูลค่าของที่อยู่อาศัยและสร้างจุดขายใหม่ โดยเฉพาะการที่ลูกบ้านสามารถผลิตไฟฟ้าทั้งใช้เองและขายคืนภาครัฐ โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์

 

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปี นี้เสนา ได้ทำงานภายใต้ธีม “ Eco Innovation”  คือการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อลูกค้า การทำแอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทได้โดยง่าย ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ลูกค้าสูงสุด ช่วยประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา รวมทั้งจะเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่น ให้มีบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล โดยปัจจุบันเสนาฯได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ไปแล้วทั้งสิ้น 12 โครงการ

 

โดยคอนโดฯโครงการแรกที่ทำการติดตั้งโซลาร์ รูฟ คือ “นิชไพร์ด –ทองหล่อ”ถือเป็นต้นแบบคอนโดฯที่ติดตั้งโซลาร์ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายพื้นส่วนกลางในระยะยาว เช่น ค่าไฟจากการใช้ลิฟท์ หรือไฟฟ้าส่วนกลางอื่นๆ ซึ่งในส่วนของโครงการแนบราบ บริษัท ทำการติดตั้งแผงโซลาร์ไว้บนหลังคาบ้านทุกหลังคาเรือน ช่วยให้ลูกบ้านของเสนาได้ประหยัดค่าไฟในช่วงเวลากลางวัน นอกจากนี้ ยังติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าหรือ  EV Charging Station  ภายในโครงการของเสนาฯ  เพื่อให้บริการกับลูกบ้าน ขณะนี้ได้มีการติดตั้งไปแล้ว 3 แห่ง ได้แก่  1.โครงการหมู่บ้านเสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา-วงแหวน   2. นิช โมโน สุขุมวิท 50   3. โครงการคอนโด นิช โมโน พีค บางนา  ซึ่งทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และทางเสนาฯได้พยายามที่จะนำโซลาร์รูฟ ไปติดตั้งที่อยู่อาศัยในทุกโครงการ อันถือเป็นจุดแข็งของเสนาฯ แม้ว่าจะทำให้ลูกค้าต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย แต่เมื่อมองถึงในอนาคตแล้วถือว่าคุ้มค่าในการอยู่อาศัย

 

รู้ทั้งรู้ว่าผู้ประกอบการที่นำเสนอเทคโนโลยีต่างๆมาติดตั้งในโครงการที่อยู่อาศัยให้ลูกค้าโดยอัตโนมัติหรือจะเรียกว่าบวกราคากับตัวบ้านหรือคอนโดฯไปแล้วให้เสร็จสรรพ แล้วแต่กลยุทธ์การนำเสนอของฝ่ายขายแต่ละค่ายว่าจะขายสินค้าบวกแพ็คเกจเหล่านี้อย่างไรให้ดูดีเสมือนได้เปล่า แต่ถ้ามองอีกมุมจะเห็นว่า การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการอยู่อาศัย ที่ทำให้มีสุขภาพที่ดี มีความปลอดภัยทั้งชีวิตทรัพย์สิน และความสะดวกสบายง่ายๆด้วยเพียงใช้นิ้วสั่งการผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งมีความสะดวกและรวดเร็วมาก

 

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*