รมว.คมนาคม “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ”เตรียมชงรถไฟทางคู่-รถไฟฟ้า เส้นทางใหม่เสนอครม. มั่นใจปีนี้แผนแม่บทฉบับ1 ผ่านฉลุย ทั้งเตรียมร่างแผนฉบับ2ส่งไม้รัฐบาลหน้าสานต่อ ทั้งเตรียมเชื่อมรถไฟความเร็งสูงไปอยุธยาเอื้อนักลงทุนญี่ปุ่น คาดปี62-67 ทุกโครงข่ายแล้วเสร็จเป็นรูปธรรม ส่งผลเอกชนลดต้นทุนขนส่ง ประชาชนเดินทางสะดวก

 

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในงานสัมมนา ภายใต้หัวข้อ”โอกาสลงทุนอสังหาฯในเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ” จัดโดยสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล NOW26 ร่วมกับพันธมิตร ว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมนำโครงการรถไฟทางคู่ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่, บ้านไผ่-นครพนม และโครงการเร่งรัด เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 เดือนนี้ พร้อมกับวางแผนนำโครงการรถไฟฟ้าอีก 6 เส้นทาง เข้าครม.ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้แก่ สายสีส้มโซนตะวันออก ศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน, สายสีม่วงส่วนต่อขยายเตาปูน-ราฎร์บูรณะ, สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางแค-พุทธมณฑลสาย 4, สายสีเขียวส่วนต่อขยายเหนือ-ใต้ 2 เส้นทาง คือ คูคต-ลำลูกา, สมุทรปราการ-บางปู และโครงการแอร์พอร์ทเรลลิ่งเชื่อมต่อท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง

 

โดยในปีนี้กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางในกรุงเทพฯและปริมณฑลตามแผนแม่บท ฉบับที่ 1 จะสามารถทำได้ครบถ้วนภายในปีนี้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำแผนแม่บท ฉบับที่ 2 ของโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นโครงข่ายย่อยในเส้นทางกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายหลัก และเป็นการรองรับในช่วงที่เครือข่ายหลักมีปัญหาหรือเกิดเหุตขัดข้อง และช่วยให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์ ประกอบกับมีเส้นทางที่หลากหลายให้ประชาชนได้เลือกใช้เดินทางเพิ่มขึ้น  แต่ยอมรับว่าโครงข่ายการคมนาคมดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ จึงได้ทำแผนแม่บทฉบับที่2 ขึ้นมา ด้วยการสร้างโครงข่ายย่อยรถไฟฟ้าในกทม. ซึ่งกทม.ได้เสนอสายสีทองและสายสีเงิน เพื่อให้การเชื่อมต่อของโครงข่ายสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่แผนแม่บทฉบับที่2 นี้คงไม่สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งรัฐบาลชัดต่อไปคงต้องดำเนินการต่อ

 

ด้านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าภายใน 3 เดือนจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่น และจะเพิ่มเติมเส้นทางไปเชื่อมต่อไปยังจ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะของพันธมิตรญี่ปุ่นที่มองเห็นโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ไปตั้งโรงงาน นอกเหนือจากพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด จึงทำให้เป็นโอกาสที่จะสามารถศึกษาต่อยอดโครงการเชื่อมต่อ 3 สนามบินได้ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อที่ครอบคลุม และคาดว่าจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาภายใน 3 เดือนเช่นเดียวกัน

 

โครงการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับการลงทุนระบบคมนาคมของภาครัฐนั้น จะไม่รวมการลงทุนที่อยู่ในงบประมาณประจำปี มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท โดยมีระยะเวลาลงทุนจำนวน 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2558-2565 ซึ่งกระทรวงคมนาคมคาดว่าภายในปี 2562 จะเห็นการก่อสร้างโครงการก่อสร้างพื้นฐานต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในช่วงปี 2565-2567 โดยการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นการกลับมาลงทุนอีกครั้งในรอบ10 ปีหลังจากปี 2549 ที่ได้ลงทุนโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่

 

ส่วนโครงการรถไฟไทย-จีน หลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้แนะให้ใช้มาตรา 44 เพื่อเร่งการดำเนินงานของโครงการ ขณะนี้ความคืบหน้ายังอยู่ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานร่วมกัน รวมถึงเร่งให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเร่งรัดโครงการดังกล่าวร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และฝ่ายจีน เข้ามาเจรจาและร่วมมือกันผลักดัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนที่จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

 

นายอาคม กล่าวต่อไปว่า เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนมีการลงทุนตามภาครัฐ อีกทั้งการลงทุนโครงการคมนาคมจะทำให้การเดินทางของประชาชนในประเทศสะดวกสบายมากขึ้นและใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่น้อยลง ส่วนภาคเอกชนจะมีตัวเลือกและรูปแบบในการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่การขนส่งของประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นการขนส่งทางถนนเป็นหลัก และช่วยใหมต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยในอนาคตลดลงต่ำกว่าปัจจุบันที่ 14% ของจีดีพี

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*