เมเจอร์ฯปรับโครงสร้างองค์กรตั้ง 4 บริษัทลูกใหม่ หวังแยกการบริการหารงานชัดเจน เผยแผนปี60 จ่อผุดกว่า 10 โครงการ รวมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ประกาศเปิดแนวราบแบรนด์ใหม่ใจกลางเมืองราคา70-100 ล้านบาทครั้งแรก ทั้งรุกมิกซ์ยูสมากขึ้นหวังเพิ่มพื้นที่อาคารสำนักงานเพิ่ม 150,000 ตารางเมตร ภายใน5 ปี และเป้ารายได้แตะ 10,000 ล้านบาท

 

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี2560 นี้ว่า ยังมีแนวโน้มที่ดี สอดคล้องกับตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกที่ 3.2% โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 3.6%  และด้วยผลจากมาตราการส่งเสริมทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐจะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในระดับบน เนื่องจากยังมีกลุ่มลูกค้ารวมถึงนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ยังคงมองหาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทำเลใจกลางเมืองและส่วนขยายที่มีศักยภาพสูง (Expanding CBD)

 

“เรามองว่าภาพรวมตลาดส่งสัญญาณที่ดีขึ้นกว่าปี2559 ที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงไตรมาส4/2559 ไม่มีโครงการเกิดขึ้นมาก แต่ก็มีผู้ประกอบการหลายรายหันมาเปิดตัวโครงการใหม่อีกครั้งในช่วงปี2560 และหากไม่มีปัจจัยภายนอกมากระทบ เชื่อว่าตลาดก็ยังไปได้ดี”นางสาวเพชรลดา กล่าว

 

สำหรับตลาดระดับไฮเอนด์มองว่ายังไปได้ดี  แต่ยังไม่หวือหวาเฉกเช่น2-3 ปีที่ผ่านมาเพราะลูกค้าในกลุ่มระดับดังกล่าวไม่สนใจกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่อ่อนไหวกับอานมณ์ซื้อมากกว่า ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อไปบ้าง โดยที่ผ่านมาลูกค้าของ MJD มีการกู้ยืมสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่น้อยมาก หรือแทบจะไม่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเลยขณะเดียวกันลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจซื้อโครงการระดับไฮเอนด์เพิ่มมากขึ้นเช่นกันเพราะราคาอสังหาฯในประเทศไทยยังถือว่าถูกเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ บริษัทฯ จึงได้ทำการขยายกลุ่มบริษัทในเครือขึ้นอีก 4 บริษัท เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกด้านของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้

1. บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด (MDE) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท

2.บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด(MDH) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออาคารสำนักงาน และโรงแรม

3.บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้พาร์ตเนอร์ จำกัด (MDP) บริการด้านนิติบุคคล และบริหารอาคารสำนักงาน

และ4. บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด (MDC) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

 

ทั้ง 4 บริษัทจะอยู่พายใต้การดำเนินงานของ MJD ซึ่งอยู่ในฐานะโฮลดิ้ง หรือบริษัทแม่

 

เปิด10โครงการมูลค่ากว่า.5หมื่นล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี2560 นี้ จะเปิดตัวทั้งสิ้นกว่า 10 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2-3 แบรนด์ ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทเริ่มพัฒนาโครงการแนวราบ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ย่านสุขุมวิท31 จำนวนเพียง 10 ยูนิต ส่วนอีกโครงการตั้งอยู่ย่านอารีย์ พัฒนาในรูปแบบของโฮมออฟฟิศ ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะเป็นการสร้างเสร็จก่อนขาย ภายใต้แบรนด์ใหม่ “MALTON PRIVATE RESIDENCE” ราคาขายเริ่มต้นที่ 70-100 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงาน 1 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท , คอนโดฯโลว์ไรส์ 2 โครงการ และคอนโดฯไฮไรส์ 5-6 โครงการ รวมประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดตัวในครึ่งปีหลังทั้งหมด โดยในจำนวนกว่า 10 โครงการนั้นตนจะเข้าไปบริหารงานจำนวน 7 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเกือบ  10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารงานโดยน้องชายของตนคือนายสุริยน และสุริยา พูลวรลักษณ์

 

นับจากนี้ไปจะรุกตลาดมิกซ์ยูสมากขึ้นทุกปีๆละอย่างน้อย 1 โครงการ เพื่อให้สอดรับกับแผนภายใน 5 ปีข้างหน้า (2560-2564)ที่รายได้ประจำของบริษัทจะมาจากการขยายพื้นที่เช่าของโครงการอาคารสำนักงานเพิ่มเป็น 150,000 ตารางเมตร จากปัจจุบันมีพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานอยู่ที่ 10,000 ตารางเมตร ของโครงการ เมเจอร์ ทาวเวอร์ ซอยทองหล่อ 10 ที่มีอัตราการเช่าเต็ม 100% ซึ่งสร้างรายได้ประจำเข้ามาประมาณ 8 ล้านบาท/เดือน

 

ทั้งนี้การลงทุนอาคารสำนักงานใหม่ในอนาคตบริษัทฯวางแผนที่จะพัฒนาอย่างน้อย 1-2 โครงการ/ปี ซึ่งจะสามารถช่วยผลักดันให้มีจำนวนพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานแห่งใหม่พื้นที่เช่า 30,000 ตารางเมตร ในย่านพระราม 9-รามคำแหง มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของอาคารสำนักงาน ซึ่งอยู่ภายในโครงการมิกซ์ยูสที่มีโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่าประมาณ  1,500 ล้านบาท ซึ่งเดิมเป็นโครงการเก่าที่ถือหุ้นโดยกลุ่มทุนไต้หวัน แต่ประสบปัญหาด้านการเงินเมื่อปี2540 การก่อสร้างจึงหยุดลงเพียงฐานรากเท่านั้น ซึ่งบริษัทได้ซื้อกิจการมา โดยใช้ใบอนุญาตก่อสร้างเดิมดำเนินการได้ ซึ่งต้องไปขอต่ออายุใบอนุญาตเพิ่มเท่านั้น โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงานดังกล่าวภายในเดือนตุลาคม 2560 นี้และคาดว่าใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ  1 ปี

 

ตั้งเป้า 5 ปีรายได้1 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปีบริษัทฯจะมีรายได้ที่ 10,000 ล้านบาท โดจะมีสัดส่วนรายได้ที่เป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มเป็น 20% หรือมีรายได้ประจำเฉลี่ย 100 ล้านบาท/เดือน จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประจำในสัดส่วนที่น้อยมาก

 

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เปิดในปีนี้คือ โครงการ “มาเอสโตร 19 รัชาดา 19-วิภา” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ราคาขายเริ่มต้นที่ 2.8 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 560 ยูนิต มูลค่าโครงการเกือบ 1,700 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่างที่โครงการในวันที่ 8 มิถุนายน 2560 นี้  และจะมีการจัดงานพรีเซลในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560

 

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2560 จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5,400 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอดอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้เข้ามาส่วนใหญ่ภายในปี 2560-2561 และมีมูลค่าสต็อกที่พร้อมขายกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม M Silom และ M Ladproa

 

ส่วนยอดขายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 10,000 ล้านบาทมากกว่าปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท พร้อมกับตั้งงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยใช้ซื้อที่ดิน 3,000 ล้านบาท และใช้ในการก่อสร้างและอื่นๆอีก 3,000 ล้านบาท

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*