นับตั้งแต่กลุ่มสตาร์บล็อค กรุ๊ป ,กลุ่มสหยูเนี่ยน และกลุ่มนายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์เข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท เกื้อกมล จำกัด เมื่อปี 2532 และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 400 ล้านบาท พร้อมทั้งจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด”เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการของบริษัทที่มุ่งเน้นการลงทุนธุรกิจพัฒนาที่ดินบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะในเขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อขายและให้เช่าและสนามกอล์ฟเนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของการลงทุนในพื้นที่บริเวณดังกล่าว จากนโยบายของรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ณ ช่วงเวลานั้น ที่กำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแห่งใหม่ ซึ่งในยุคนั้น ได้ดึง “วิลเลี่ยม เช็ง”นักธุรกิจชาวสิงคโปร์เข้ามาบริหารงาน และได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2537 ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ ESTAR

 

จนกระทั่งปี 2546 กลุ่มนายกฤตย์ รัตนรักษ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ เพื่อรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินการอยู่คือธนาคารกรุงศรีอยุธยาฯ ,บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ,บริษัท สยามซิตี้ ซิเมนต์ จำกัดและบริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด มีการปรับโครงสร้างภายใน ปรับทีมผู้บริหาร แนวคิดการดำเนินธุรกิจ  และขยายตลาดมาในกทม.  และในปี 2548 ได้ดึง สหัส  ตันติคุณ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไรซ์ จำกัด (มหาชน) มานั่งบริหารในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยในช่วงนั้นเน้นการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบ ย่านชานเมืองและคอนโดฯย่านช่องนนทรี

 

ต่อมาในปี 2551 ได้ดึง รัตนชัย ผาตินาวินอดีตกรรมการผู้จัดการ  บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) มานั่งตำแหน่งเอ็มดีที่ ESTAR ซึ่งถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของESTAR ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่และมีวิสัยทัศน์ของ”รัตนชัย”ได้ปรุบแผนธุรกิจรุกพัฒนาบ้านเดี่ยวและคอนโดฯในเมือง ระดับไฮเอนด์ มีดีไซน์ที่สวยงาม มากขึ้น มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ แต่”รัตนชัย”ก็ได้ช็อกวงการอสังหาฯด้วยการประกาศลาออกจาก ESTAR ในปี 2558 ซึ่งในช่วงนั้น “ไพบูลย์ วงศ์จงใจหาญ”ได้รักษาการตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ อยู่ประมาณ 1 ปี จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ทางบอร์ดESTAR ได้ดึง “ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์” อดีตอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัยสยาม และอดีตผู้ช่ว่ยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ESTAR ที่ว่างเว้นมาเกือบ 2 ปี

 

บทบาทใหม่ที่สร้างความท้าทาย

 

ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือESTAR เปิดเผยว่า การที่ตนย้ายจากPS มาดำรงตำแหน่งที่ ESTAR นั้นจะมีบริบทองค์กรที่ไม่เหมือนกัน โดยที่ESTARถือว่าเป็นความท้าทายในบทบาท แม้จะเป็นองค์กรที่เล็กกว่า PS แต่รากฐานที่ปูมาจากในอดีต ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และหลังจากที่สามารถหักล้างหนี้ได้หมดแล้วก็จะมีอัตราการเติบโตต่อไปในอนาคต รวมไปถึงนำสิ่งแปลกใหม่มาสู่ESTARด้วย

 

ด้านโครงสร้างของบริษัทฯนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มีแต่ปรับโครงสร้างการบริหารงานทีมงาน ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจดูตลาดอสังหาฯระหว่างกรุงเทพฯและระยองให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเสริมทีมการตลาดเข้ามามากขึ้น เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

 

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2560 นั้นมองว่าตลาดจะทรงตัวอยู่ต่อเนื่องมาจากปี 2559 เพราะผู้บริโภคยังไม่มั่นใจในการใช่จ่ายมากนัก อีกทั้งราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงอย่างรวดเร็ว ตามการลงทุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ในขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคอาจจะยังตามไม่ทัน ส่งผลให้การพัฒนาโครงการต้องใช้ความระมัดระวัง และต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ส่วนแนวโน้มของโครงการคอนโดมิเนียมยังมองว่ามีความต้องการอยู่มาก โดยความต้องการส่วนใหญ่จะอยู่ไนพื้นที่ที่มีการคมนาคมที่สะดวก หรือตามแนวรถไฟฟ้าสายหลักและสายรอง หรือใกล้จุดขึ้นลงทรงด่วนต่างๆ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากการที่หนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงอยู่ที่ระดับ 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นการขยับขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินเชื่อ SME และรายย่อย ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ระมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาทางบริษัทก็มีการให้คำปรึกษากับลูกค้าเพื่อเตรียมตัวก่อนยื่นขอกู้สินเชื่อ ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทอยู่ในระดับต่ำ เพราะบางโครงการดาวน์สูงถึงเกือบ 20%

 

ปี’60จ่อผุด2-3โครงการมูลค่ากว่า 3พันล้าน

 

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560  บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในเขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง รวมมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วบางส่วน โดยยังคงเน้นลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงการเน้นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเพิ่มความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และราคาขาย

 

สำหรับโครงการในกทม.บริษัทฯจะพยายามตอบโจทย์ลูกค้าด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับกลางมากขึ้น จากเดิมที่เน้นตลาดกลาง-บน ระดับราคา 80,000 บาท/ตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเล ขณะเดียวกันโครงการที่ระยองนั้น จากการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐก็จะทำให้นับจากนี้ไปอีก 2-3 ปีภาคอสังหาฯในระยองและภาคตะวันออกจะฟื้นตัวขึ้น ดังนั้นการพัฒนาโครงการของเราในจ.ระยอง ก็จะมีการปรับรูปแบบให้มีความเป็นเมืองมากขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าจากในกทม. จากในอดีตที่พัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์แต่ลูกค้าต่างจังหวัดเท่านั้น

 

“ส่วนคอนโดฯในเมืองนั้นเชื่อว่าผู้บริโภคจะเริ่มหันมาซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่ออยู่อาศัยในช่วงวันทำงาน และมองว่าโครงการในรูปแบบ Mixed  use  ที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัยและการใช้ประโยชน์อื่นๆ อาทิ พื้นที่สำหรับการค้าสำนักงาน หรือการใช้ประโยชน์รูปแบบอื่นๆ น่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้มองว่า คอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง ถึงกลางบน ( ราคา 5 – 10ล้านบาทต้นๆ) จะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค” ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว

 

สนขยายธุรกิจลดความเสี่ยงตลาดที่อยู่อาศัย

 

ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจอื่นๆซึ่งอาจจะมีความเป็นไปได้ทั้งในรูปแบบของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและไม่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะดูจากธุรกิจของบอร์ดบริษัทฯเข้ามาเสริม รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุนด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดที่อยู่อาศัยเกิดความผันผวน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาว ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  เพราะต้องการเน้นไปที่การสร้างรากฐานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งเป็นระยะเวลา1 ปี ก่อนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เพราะบริษัทไม่ได้มีการเปิดโครงการใหม่มาเป็นระยะเวลา 2 ปี และเพิ่งล้างขาดทุนสะสมได้หมด ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงการขยายการเติบโตของบริษัท

 

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนในปีนี้และปี 2561 และในปัจจุบันบริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างการขายในกรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ Star View คอนโดมิเนียม วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาเริ่มต้นที่ 6.7 ล้านบาทมูลค่าโครงการ  3,800 ล้านบาท ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขายเพียง 15% คาดว่าทาจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2560 นี้ 2.โครงการนารา 9 ติดรถไฟฟ้าช่องนนทรี ราคาเริ่มต้น 9.7 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท มียูนิตเหลือเมขายเพียง 17% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งมอบห้องให้ลูกค้า และ 3.โครงการแอมเบอร์ คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีติวานนท์ ราคาเริ่มต้นที่ 2.59 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,000ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และพร้อมโอนในกลางปี 2561

 

สำหรับโครงการในเขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ปัจจุบันมี 3โครงการ ได้แก่ โครงการสินทวี การ์เด้นท์ 2, โครงการวินเทจ โฮมวิลเลท3 และโครงการแฮมเลท 3 ซึ่งภาพรวมมียอดขายและยอดรายได้ประมาณ100 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะผลักดันให้มีอัตราการเติบโตทางด้านยอดขายและรายได้ อย่างน้อยประมาณ 20% ในปี 2560

 

อย่างไรก็ตามในปี 2560 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากปี2559 ที่ทำได้ 700 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 2,200 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท

 

คงต้องจับตาดูย่างก้าวใหม่ของESTAR ในรอบ 28 ปีที่เปลี่ยนเอ็มดีมาแล้ว 4 คน ว่านับจากนี้ไปจะสามารถกลับมายิ่งใหญ่ในแวดวงอสังหาฯได้อีกครั้งหรือไม่

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*