ศุภาลัยฯ ขานรับหากรัฐออกมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัว ประกาศเตรียมยุบบริษัทย่อยหวังลดความซับซ้อน ง่ายต่อการบริหารจัดการ เปิดแผนปี60 ผุด 29 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 37,000 ล้านบาท หวั่นยอดรีเจคปีนี้ยังไม่ลดลง ผู้ประกอบการรายใหญ่แข่งกันเดือด ชูจุดแข็งดึงกำลังซื้อ ตั้งเป้ายอดขายแตะ27,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 24,500 ล้านบาท 

 

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2559  ยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภครวมไปถึงผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนนั้นจะชะลอตัวในระยะสั้นเท่านั้น สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอีกหลายมาตรการ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ไว้ในปีที่แล้ว มาปีนี้คาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน

 

ส่วนการที่ภาครัฐมีแผนจะกระตุ้นภาคอสังหาฯด้วยการออกมาตรการด้านภาษีออกมาช่วยเหลือ ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ที่รัฐบาลต้องการสร้างผลงานก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง  เพราะทุกคนคาดหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2559 ที่ผ่านมา โดยผู้บริโภคจะได้รับผลประโยชน์โดยตรง ขณะที่ผู้ประกอบการจะได้รับผลประโยชน์ในทางอ้อม และทุกครั้งที่รัฐบาลออกมาตรการทางด้านภาษีมากระตุ้นก็จะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย ส่วนจะมีกำหนดระยะเวลานานเพียงใดนั้นคงต้องรอดูว่าจะเป็น 6 เดือน หรือ 1 ปี

 

ปรับโครงสร้างบริษัท-ลดความซ้ำซ้อน-ลดภาระต้นทุน

 

อย่างไรก็ตามในปี2560 นี้บริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทฯด้วยการยุบบริษัทย่อยที่เคยพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดลง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 4 บริษัท จากที่ก่อนหน้านี้เคยยุบบริษัทย่อยที่ลงทุนโครงการอสังหาฯในประเทศออสเตรเลียมาแล้ว เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการมากขึ้น และลดความซับซ้อนของโครงสร้างงองค์กร รวมไปถึงลดภาระต้นทุนด้านการทำบัญชี ซึ่งคงต้องผ่านขั้นตอนการประชุมของผู้ถือหุ้นบริษัทย่อยก่อนว่ามีความเห็นชอบด้วยหรือไม่ คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วๆนี้

 

 เปิดโครงการใหม่29โครงการรวมมูลค่า3.7หมื่นล้านบาท

 

ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 ว่า จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น  29 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ  คิดเป็นมูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท มากกว่าปี 2559 ที่เปิดตัวใหม่ 21 โครงการ รวมมูลค่า 24,120 ล้านบาท โดยโครงการที่เปิดตัวในปีนี้จะเป็นโครงการที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล สัดส่วน 72% และต่างจังหวัด สัดส่วน 28% ซึ่งจะมีการขยายฐานไปในจังหวัดใหม่อีก 1 แห่งคือ เชียงราย เพราะมีศักยภาพที่โดดเด่น และจะมากขึ้นเมื่อการค้าชายแดนเฟื่องฟู ขณะนี้มีที่ดินรองรับเรียบร้อยแล้ว

โดยโครงการคอนโดฯทั้ง 5 โครงการในปีนี้จะเป็นการรุกตลาดฝั่งธนบุรีมากขึ้นถึง 4 โครงการ และในย่านกลางเมือง 1 โครงการ  จากปีที่แล้วที่เน้นตลาดฝั่งตะวันออก ได้แก่ โครงการแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง,แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว,แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ใกล้ถนนจรัญสนิทวงศ์,แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บริเวณถนนเพชรเกษม และบริเวณใกล้แนวรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงศ์ คือโครงการ ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท39 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ เป็นคอนโดฯ จำนวน 4 อาคาร สูง 25 ชั้น 2 อาคาร และสูง 35 ชั้น 2 อาคารต ขนาด 39-355 ตารางเมตร รวม 1,046 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 4.5-53 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลสำหรับลูกค้าวีไอพีในวันที่ 18-23 มกราคม นี้ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่คาดหวังการขายโครงการดังกล่าวในปีนี้ไว้ที่ 6,700 ล้านบาท ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563

 

ขายอาคารสำนักงานในฟิลิปปินส์

 

ส่วนความคืบหน้าในการขายอาคารสำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้สนใจซึ่งยังไม่สำเร็จลุล่วง แต่คืบหน้าไปค่อนข้างมากแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปการขายในช่วงต้นปี2560 นี้ และคาดว่าจะสามารถบันทึกเป็นกำไรพิเศษเข้ามาได้ไนช่วงครึ่งปีหลัง เพราะกรมที่ดินของประเทศฟิลลิปปินส์ใช้ระยะเวลาในขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้บริษัทยังมีการปรับโครงสร้างบริษัทย่อยไนปีนี้ โดยการยุบบริษัทย่อย 2 บริษัทย่อย จากที่มีอยู่ 4 บริษัทย่อย เพื่อทำให้การบริหารจัดการภายในง่ายต่อการจัดการมากขึ้น และลดความซับซ้อนของโครงสร้างงองค์กร

 

ด้านอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(Reject)ของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะยังไม่มีแนวโน้มลดลงจากสิ้นปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 8% เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่อยู่ที่ 6% เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ จากภาวะหนี้สินครัวเรือนที่สูงและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทฯได้พยายามช่วยเหลือลูกค้า ด้วยการให้คำปรึกษาในการเตรียมความพร้อมการขอสินเชื่อ และพิจารณาลูกค้าแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าในแต่ละสถาบันการเงินด้วย

 

นายไตรเตชะ กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2560 ผู้ประกอบการรายใหญ่จะแข่งขันกันเองมากขึ้น ส่วนผู้บริโภคจะซื้อโครงการไหนนั้นขึ้นอยู่กับจุดแข็งของผู้ประกอบการแต่ละราย ในส่วนของบริษัทฯเองนั้นตระหนักถึงกรณีดังกล่าว จึงเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงด้วยการขยายฐานโครงการในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาจาก 26% เป็น 28% ครอบคลุม 12 จังหวัด โดยโครงการแนวสูงจะเน้นใน 5 จังหวัดหลัก คือ ชลบุรี ระยอง สงขลา ภูเก็ต และเชียงใหม่เท่านั้น ซึ่งจะพิจารณาจากจำนวนประชากรและกำลังซื้อเป็นหลัก ที่เหลือเป็นการพัฒนาโครงการแนวราบ

 

อย่างไรก็ตามปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้คือ 24,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 22,000 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 27,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 24,500 ล้านบาท

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*