บิ๊กลลิลฯ “ไชยยันต์ ชาครกุล”เผยมาตรการภาครัฐไม่ช่วยตลาดอสังหาฯโต แนะผ่อนกฎแบล็คลิสเครดิตบูโรเหลือ 1 ปี หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าต่อ มั่นใจปี60ตลาดแนวราบยังไปได้ดี ส่วนคอนโดฯชะลอตัว แย้มแผนปีไก่เปิดตัวใหม่ 8-10 โครงการ กระจายโซนกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัด รวมมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีแตะ 3,600 ล้านบาท ขณะที่รายได้ขยับขึ้นที่ 3,100 ล้านบาท  เติบโต 15%

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือLALIN  เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รอบ2 เพราะขณะนี้มีบ้านและคอนโดมิเนียมเหลืออยู่ล้นตลาดฯเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าในปีนี้นั้น ตนมองว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นตลาดได้เพียงระยะสั้นเช่นเดียวกับปี 2559ที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมก็ถือว่าไม่ได้ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวมากกว่าที่ประเมินไว้โต 3-5% ในปี 2560 นี้

 

 

ไชยยันต์ ชาครกุล

อีกทั้งปัจจุบันหนี้สินครัวเรือนยังอยู่ไนระดับสูงที่ 80% ของจีดีพี ซึ่งส่งผลให้การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือด้วยการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การติดแบล็คลิสเครดิตบูโรจากปัจจุบัน 3 ปี เป็น 1 ปี ซึ่งมองว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ผู้กู้ยืมสินเชื่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น และเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะสามารถขายสินค้าและระบายสต็อกออกไปได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว แตกต่างจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เมื่อปีก่อนที่ช่วยระบายสต็อกและการขายสินค้าของผู้ประกอบการในระยะสั้น แต่ยังเผชิญปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินอยู่

 

ปัจจุบันลูกค้าของบริษัทฯมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในปัจจุบันอยู่ที่ 20-25% ซึ่งบริษัทมีแนวทางในการช่วยหลือลูกค้าโดยการทำ Pre-approve ก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมของลูกค้า หรือในกรณีที่สถาบันการเงินให้วงเงินกู้ยืมกับลูกค้าไม่ครบตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการกู้ยืม บริษัทฯก็จะมีการช่วยเหลือลูกค้าในการผ่อนดาวน์ในส่วนที่เหลือ โดยมีสถาบันการเงิน 2-3 แห่งให้ความร่วมมือ ซึ่งโดยปกติบริษัทจะเก็บเงินดาวน์ลูกค้า 10% ของราคาขาย

 

สำหรับแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 นั้นเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกเติบโตน้อยและภาวะการบริโภคของภาคประชาชนชะลอตัว เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ในปี 2560 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกฟื้นตัวเล็กน้อยจากการที่เงินบาทอ่อนค่า และต้องประเมินนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์และยุโรปอีกระยะหนึ่ง ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลัก และจากการเร่งรัดโครงการต่างๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการเริ่มลงทุนโครงการจากบี.โอ.ไอ ตลอดจนภาคเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณลงทุนชัดเจนจากรัฐบาลก็จะมีแรงส่งการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยจะค่อยๆ เห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3-4 เป็นต้นไป

 

ภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 จะมีการขยายตัวในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand ก็ยังคงขยายตัวได้ระดับหนึ่ง สำหรับตลาดอาคารชุดน่าจะทรงตัว เพราะยังมีซัพพลายคงเหลือในหลายทำเลที่ยังคงค่อยๆ ดูดซับซัพพลาย โดยเฉพาะตลาดกลาง – ล่าง ตลาดบน และดีไซน์ที่โดดเด่นก็ยังพอมีช่องว่างบ้าง โดยภาพรวมของตลาดน่าจะขยายตัวได้ 3-5%  ซึ่งบริษัทฯ ได้ประเมินจากสถานการณ์แล้ว และได้มีแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์ โดยได้กำหนดแผนประจำปีให้มีความยืดหยุ่นให้เข้ากับภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังควบคุมความเสี่ยงมี D/E ต่ำ แผนควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีแผนกลยุทธ์อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ LALIN กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 ว่าบริษัทฯเปิดตัวใหม่ประมาณ 8-10 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% หรือประมาณ 5-6 โครงการ เพราะถือว่ายังมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มียอดจดทะเบียนมากกว่า 50% ของมูลค่าตลาดอสังหาฯทั้งประเทศ ส่วนต่างจังหวัดจะเน้นในสัดส่วน 30% โดยเน้นในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ระดับประมาณ 1.5-2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 2.8-6 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว 50% ซึ่งอีก 50% บริษัทจะค่อยๆทยอยหาซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการที่จะเปิดตามแผนในปีนี้ ส่วนคอนโดฯคงชะลอแผนการพัฒนาออกไปก่อน เพราะปัจจุบันซัพพลายในตลาดฯมีค่อนข้างมาก ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซัพพลาย และคาดว่าหนี้ครัวเรือนจะลดลงในปีนี้

 

โดยโครงการในต่างจังหวัดบริษัทได้มีการศึกษาการขยายในจังหวัดใหม่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างเช่น ขอนแก่น เป็นหนึ่งในจังหวัดที่บริษัทสนใจและศึกษาอยากเข้าไปลงทุน แต่จะต้องรอดูจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมในการเข้าไป เพราะปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดยังมีการชะลอตัวและมีจำนวนซัพพลายที่ล้น ซึ่งหากเข้าไปทันทีจะทำให้โครงการที่บริษัทฯไปเปิดมียอดขายที่ไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้

 

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมดในปัจจุบัน 750 ล้านบาท จากทั้งหมด 30 โครงการๆละประมาณ 50-100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในปีนี้ทั้งหมด จากเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 3,100 ล้านบาท จากปี 2559 ที่รับรู้รายได้ประมาณ 2,700 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,600 ล้านบาท เติบโต 15%

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*